ทำไมเด็กไทย ถึง เหงานัก | บทความ

บทความ


ทำไมเด็กไทย ถึง เหงานัก

Blog Single

ทำไมเด็กไทย ถึง เหงานัก
ความขี้เหงา เป็นอารมณ์นึงที่พบมากในเด็กปัจจุบัน

1.เกิดจากความขาดเป้าหมาย
2.ขาดการนำใจมาหยุดอยู่กับตัวเอง
3.แล้วก็คิดว่า ตนเองไม่สำคัญพอ

เหตุหลักๆเลย สถิติการจดทะเบียนสมรสเกิดการหย่าร้าง 30% ในทุกห้องเรียน จะมีเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อทั้งแม่ ในเด็ก 3 คน จะพบ 1 คนที่มีปัญหาครอบครัว

เพราะฉะนั้นไม่ใช่น้อยๆ เมื่อถึงเทศกาลวันแม่ ยิ่งตอกย้ำความว้าเหว่ โหยหา แล้วมันเยียวยาได้ทางที่ง่าย ก็คือ ความรักหรือเพศสัมพันธ์

พวกเขาไม่คิดว่าตนเองเป็นที่รักมากพอ เพราะตัดสินจากสิ่งที่พ่อแม่ทำ จึงคาดหวังให้คนรอบข้างรักเขา หรือมองหาคนเข้าใจ แล้วก็เอาอกเอาใจใส่เขา มากกว่าการเรียน

ใจของเขาเลยไม่โฟกัสที่ตัวเอง เพราะมองไปรอบตัวว่ามีใครรู้สึกดีกับเขาบ้าง “....อยากเป็นคนที่ถูกรัก อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ...”
แนวเพลงต่างๆก็แต่งออกมาสะท้อนอารมณ์เรียกเรตติ้งความชอบใจไปอีก

”...ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ให้นานกว่าที่เคยมา ใช้เวลามองหาให้นานกว่าที่เคยใช้”

... ล้วนโปรแกรมจิตให้เด็กหยุดอยู่ในห้วงเวลาแห่งการแสวงหาคนรู้ใจ มากกว่าการตั้งเป้าหมายการเรียนหรืออนาคต หรือเขาอาจจะบอกว่า การเรียนก็ไม่มีครูพาเขาคุยถึงอนาคตเท่าไหร่ การเรียนเป็นเรื่องของครู ครูอยากสอน แต่เด็กไม่อยากเรียน และเด็กก็ไม่รู้ว่าครูก็ไม่ได้อยากสอน แต่ระบบมันบังคับให้สอนตามนี้

ผมกับทีมงานเลยต่อสู้เรื่องนี้มา รณรงค์ยกเลิกการประเมินต่างๆที่ต้องจัดบอร์ด ตรวจเอกสาร ทำผลงาน ที่โรงเรียนได้ประโยชน์มีชื่อเสียงรางวัล แต่เด็กไม่ได้ประโยชน์ รณรงค์ให้ครูสอนแบบใหม่ และสร้างกระบวนการเข้าใจเด็ก ลดช่องว่างระหว่างครู เพื่อแก้ปัญหาหลักนี้ก่อน ก่อนจะพาเด็กก้าวไกลระดับโลก ปัญหานี้สำคัญเป็นกระดุมเม็ดแรกการศึกษา

ดูจากอะไร จากการสำรวจด้วยโปรแกรมวิเคราะห์นิสัย www.habitscode.com ประเมินพฤติกรรมและแรงจูงใจเด็ก ด้วยจิตวิทยาคน 6 สี
พบว่า 40% จากจำนวนเด็กที่ทำแบบทดสอบทั่วประเทศ กว่า 300,000 คน มี ปริมาณเด็กโปรไฟล์นิสัยสีเหลือง เกือบครึ่งนึง ซึ่งเยอะมาก และโปรไฟล์สีเหลืองคือกลุ่มเด็กที่มีความสนใจด้านความสัมพันธ์ มีความพอใจด้านการเป็นที่รัก ไม่ชอบสันโดษ รักสนุก ชอบพบปะผู้คน ต้องการความเอาใจใส่

และประชากรสีไหนน้อยสุดรู้ไหม ตอบคือ โปรไฟล์นิสัยสีแดง ซึ่งคือคนมีเป้าหมายชัดเจน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแล้วริเริ่มลงมือทำ เรียนรู้นำไม่เรียนรู้ตาม มีเพียง 6% เท่านั้น นั่นแปลว่าในโรงเรียนไทยจะขาดการสร้างผู้นำที่มาจากสัญชาตญาณแท้ หรือขาดนักนวัตกรรม นักธุรกิจหรือผู้นำที่ควรจะพอฝากฝังประเทศได้ หรืออาจจะมีมากแต่เด็กกลุ่มนี้ออกนอกระบบไปแล้ว เพราะบุคลิกภาพเขาไม่อดทนต่อระบบและการถูกบังคับ อีกทั้งระบบการสอนออกแบบให้เหมาะกับเด็กสีเขียวหรือน้ำเงิน
.
ซึ่งบริบทโรงเรียนไทยเป็นแบบนี้ มีกระบวนการสอนที่ออกแบบมาเพื่อคนเฉพาะกลุ่มสีเท่านั้น หรือดูที่ครูก็ได้ ประชากรครูที่ทำแบบทดสอบจาก 20,000 คน มีโปรไฟล์สีเขียวมากที่สุด สีเขียวก็คือ นิสัยคนที่รักสงบชอบความมั่นคงแน่นอน ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ยินดีทำตามระบบและต่อต้านหากมีความไม่แน่นอน แต่ก็ทำได้แค่บ่น ซึ่งสอนตามระบบที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่เหมาะกับเด็กไทยยุคนี้ และก็ไม่มีครูสีแดงลุกขึ้นมารณรงค์สักเท่าไหร่ อย่างมากก็ออกนอกระบบ ลาออกสอนพิเศษทำแคมป์แทน สรุปคือ ระบบการศึกษายังไม่สามารถดึงใจเด็กให้หันมาสนใจตัวเองที่มากพอ และผลการเรียนดีๆก็ไม่รู้จะทำไปเพื่อให้ใครภูมิใจ พ่อแม่ก็ไม่อยู่สักหน่อย คนที่ใส่ใจฉันคือเพื่อนและแฟน!!!

ทุกอย่างนี้คือข้อมูลข้อเท็จจริงสำหรับการจัดการพฤติกรรมมนุษย์ ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ประถม-มัธยม ที่นับว่า ถ้าโรงเรียนไม่แก้ไขในการสอนให้เขามีความรักที่ถูกต้อง เปิดกว้างในการสอนเรื่องเพศและการพูดคุยในเรื่องที่เขาชอบคุยกันกับหมู่เพื่อน ซึ่งมันมากกว่าการคุยเรื่องเรียน

จะยัดภาษาคอมพิวเตอร์ โค้ดดิ้ง ใดๆไป เขาก็ยังไม่พร้อมรับ เพราะเขาต้องการความอบอุ่น ความรัก ซึ่งมันต้องมากพอ พอจนเขาจะรักตัวเองเป็นแล้ว 1.กำหนดเป้าหมาย กับ 2. เอาใจมาไว้กับตัวได้ก่อน และ 3.ให้เขารู้สึกว่าเขาสำคัญกับการเรียนเพื่อใครสักคน แม้จะไม่ใช่เพื่อพ่อแม่ของเขาก็ได้ แต่เพื่อตัวเขาเอง

การศึกษาไทยจึงจะก้าวหน้าและติดกระดุมเม็ดถัดไปได้


จักรกฤษณ์ ศักดิ์สุวรรณ C.Ht
Cr. เพจ HabitScan จริตนิสัย6

แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น