Himva Kingdom Season 1 : วุ่นนัก..รักโรลเพลย์ EP.2 หน้าที่จากพรสวรรค์
ตอนที่ 2
หน้าที่จากพรสวรรค์
“ชั้นเป็น เทวาพิทักษ์ ของนายน่ะ สินทราย”
“นายสัญญาแล้วนะว่าจะตั้งใจสืบทอดวิชาคนธรรพ์อย่างสุดความสามารถ” พี่ชายคนนั้นหันมาพูดกับผม แล้วทำท่าทางรีบร้อนเหมือนจะไปไหน
“เอ่อะ..คะ..ครับ” ผมรับคำด้วยความรู้สึกที่ตื่นตะลึงปนกับความกลัว แต่สงสัยมากกว่า
"ว่าแต่...พี่ชาย ชื่ออะไรครับ ยังไม่ทันรู้จักกันเลย อย่าเพิ่งไปสิ" ผมเอ่ยถาม จนเจ้าตัวที่ผมตะโกนคุยด้วยหันหลังกลับมาตอบ
"นี่...ชั้นอยู่กับนายตั้งแต่นายยังไม่ทันลงมาลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ช่างเหอะ นายไม่ต้องรู้เรื่องชั้นมากหรอก ชั้นชื่อ นรุตม์ เรียกว่า "พี่นรุตม์ สุดหล่อก็พอ โอเคนะน๊าบ"
“งั้น...แล้วเราค่อยพบกันใหม่ โอเค๊” พี่ชายชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทำทรงกลมๆ สัญลักษณ์ของคำว่า "OK" แหมมม เทวาพิทักษ์สมัยนี้ จ๊าบสุด
“ตึ๊ง!!!!!” เทพบุตรตรงหน้าดีดสายพิณ 1 ครั้ง กายละเอียดผมก็เด้งกลับเข้าร่าง เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ปกติ
พ่อทำพิธีเสร็จสิ้นเช่นกัน ผมค่อยๆขยับมือ และลืมตาตื่นขึ้นมา พ่อกับแม่รีบโผกอดผมแน่น
“เป๋นจะได๋พ่องลูก แม่กะป้อใจ๋คอบ่าดีเลย ขวัญเอ้ยขวัญมา”
แม่เข้ามากอดผมแล้วหอมแก้มไป 1 ฟอด นอกจากรอยจูบรอยหอมของแม่ ผมก็ยังไม่เคยไปทำแบบนี้กับใครเลย ดูเป็นคนอ่อนต่อโลกมากใช่ไหมล่ะ
แม่กล่าวไป พร้อมกับลูบหัว และหอมที่หัวผมเบาๆ เหมือนทุกทีที่ผมหวาดกลัว
ผมก้มมองที่ข้อมือทั้งสองข้าง ซึ่งตอนนี้ถูกผูกเรียกขวัญไว้เต็มไปหมด และเครื่องรางที่ยังคงต้องใส่ติดตัวตลอดเวลา นั่นคือ สร้อยข้อเท้าเงินโบราณ
.
.
ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมถูกพ่อบังคับให้นั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตใจให้สงบนิ่งมากยิ่งขึ้น เพราะพ่อกลัวว่าวันนึงที่ผมไม่มีเครื่องราง อย่างน้อยจิตที่สงบ มั่นคง จะช่วยให้ผมไม่สูญเสียขวัญหรือจิตวิญญาณให้กับภูตผีร้ายอีก ผมจึงต้องฝึกจิตอย่างเคร่งครัด
การนั่งสมาธินี่เอง ทำให้ผมได้เจอกับเทพบุตรที่เขาบอกว่า เขาเป็นเทวาพิทักษ์ของผมนั่นเอง เขาชื่อ นรุตม์
ผมพินิจพิจารณาด้วยความงุนงงสงสัย เอาจริงๆ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับ เทวาพิทักษ์สักเท่าไหร่
.
.
ในช่วงค่ำของวันถัดมา
ผมยังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน และหน้าที่ของผมที่ลั่นวาจาไว้ ต่อจากนี้ที่ว่า
“ต้องรักษาคำพูดด้วยการสืบทอดวิชาคนธรรพ์ของพ่อปู่ แต่มันต้องเริ่มยังไงนะ ...ยังจับทางไม่ถูก...นรุมต์ นายอยู่ที่ไหนนะ”
ทันใดนั้นมีเสียงนึงแทรกพูดบอกคำตอบให้ผมขณะนั่งคิดเงียบๆ แต่มันไม่ใช่เสียงของผม เพราะเสียงนั่นดังอยู่ข้างเตียงนอน
“เห้ยยยยย !!!!”
ผมตกใจร้องลั่น เพราะเมื่อผมหันไปที่ด้านข้างเตียง ก็พบเห็นรูปร่างชายคนนึงผิวสีขาวอมเหลืองมีประกายสีทองที่เมื่อวานนี้เพิ่งมาช่วยผมเอง
เขาเป็นผู้พิทักษ์ ชื่อ นรุตม์ ปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกครั้งในชุดเสื้อผ้าแปลกตาที่เขาสวมใส่ มีสังวาลย์เม็ดสีเขียวมรกตลักษณะทรงกลมเป็นดวงแก้วพาดที่กลางหน้าอก
ชุดโจงกระเบนสีน้ำตาลลายสีทอง กำลังมองผมและยิ้ม
“ดูทำ ดูทำ ทำท่าตกใจ ไม่เคยเห็นผีมาก่อนหรอ"
"หึ!! เคยเห็นดิ เห็นทุกวัน" ผมส่ายหน้าและยอมรับเรื่องที่ผมมองเห็นผีเป็นปกติ
"แล้วเคยเห็น เทวดามั้ย??"
"หึ!! ไม่เคยยยย ก็เนี่ยไง เลยยืนงง อยู่นี่" ผมยียวนตอบ ก็เพราะเทวาพิทักษ์ไรนั่น เขากำลังหยิบสตรอเบอรี่แสนโปรดของผมมาเชยชม แล้วก็เป่าลมจากปากพ่นใส่น้องสตรอฯ ของผมอยู่
"เอางี้ เล่ารอบเดียว อย่าถามซ้ำ ชั้นเป็นนักเวทย์กายสิทธิ์จากดินแดนที่แสนไกล”
“อาณาจักรหิมวา ดินแดนที่มีป่าไม้สีทอง” นรุตม์อธิบายพร้อมยื่นใบไม้ขนาดฝ่ามือที่มีสีทองอร่ามมาให้ผม
ผมมองหน้านรุตม์เล็กน้อย ยังไม่กล้ารับมาในทันที
นรุตม์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะแสยะยิ้มเหมือนคนที่กำลังจะแกล้งอะไรผมสักอย่าง ผมรู้ทันเพราะผมถูกคนอื่นแกล้งบ่อย
ผมจึงลองรับมา ผิวสัมผัสของใบไม้สีทองอร่ามนั้นสากมือเล็กน้อย เหมือนจับกระดาษทราย เหมือนนรุตม์จะรู้ว่าผมคิดอะไร
“ดินแดนที่ว่านี่ อยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้หรอ พี่ชาย” ผมเองก็ชักสงสัย ไม่แน่ใจว่าผมนั่งสมาธิแล้วเผลอหลับจนฝัน หรือเหตุการณ์ตรงหน้านี่คือเรื่องจริง
“เมืองหิมวา ดินแดนที่อยู่ตรงรอยต่อของโลกมนุษย์กับป่าหิมพานต์ ที่นั่นมีมหาวิทยาลัยสอนวิชาต่างๆให้ผู้ที่มีเชื้อสายเท่านั้น” นรุตม์พูดด้วยความทระนงองอาจ
“แล้วอีกเรื่อง ที่จริงชั้นเองก็อยู่กับนายตลอดมาตั้งแต่เกิดแล้ว
แต่ตอนนี้ที่นายมองเห็นชั้นได้ ก็เพราะนายเพิ่งผ่านวินาทีแห่งความตายมา แต่....” นรุตม์ยิ้มอย่างจริงใจ รอยยิ้มอันเป็นมิตรมันทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลได้มากขึ้น จนกระทั่งได้ยินคำว่า แต่....
“แต่... อะไร” ผมซักอย่างกังวล
“แต่ ต่อไปนี้ นายจะไม่ใช่เพียงเห็นชั้นได้เท่านั้น พวกวิญญาณผีร้าย นายก็จะเห็นด้วย เหอะๆๆๆ” นรุตม์ชี้นิ้วไปรอบๆให้ผมมองดู
ทันใดนั้นผมก็เห็นบรรดาร่างเงาดำๆ เดินโซเซบ้าง นั่งก้มหน้าบ้างอยู่นอกบ้าน สรุปคือผมจะต้องมองเห็นผีได้แม้ว่าผมจะใส่สร้อยข้อเท้าแล้วงั้นหรอ
ผมหันไปหานรุตม์ซึ่งก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ตอนนี้
“.......” ความเงียบคืบคลานเข้ามา เหมือนว่าในห้องนอนของผม มีอะไรบางอย่าง
.
.
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น จนผมตกใจร้องลั่นบ้าน
พ่อเปิดประตูเข้ามาหาผม! ผมถอนหายใจไปเฮือกนึง แล้วถาม
“ป้อ!!! มีอะหยังก่อครับ” ผมขยับตัว มือก็จับผ้าห่มมาคลุมขาทั้งสองข้าง
พ่อรู้พฤติกรรมผมดี ว่าผมกำลังปิดบังอะไรอยู่ แต่พ่อก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม แต่ผมมีเรื่องสงสัยจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่ผีร้ายคุกคามครอบครัวของผมจนอดใจถามพ่อไม่ได้
“เอ่อออ ป้อครับ ผมไค่ฮู้ว่า เพราะอะหยัง ผีร้ายตัวเมื่อวานถึงขายวิญญาณหื้อปีศาจ”
พ่อทำหน้านิ่งแล้วเข้ามานั่งใกล้ๆผม แล้วค่อยๆตอบ
“สินทราย ลูกฟังป้อหื้อดีเน้อ คนเฮาหนา หากบ่แม่นคนแต้ บ่เก่งจริง ก็คงบ่ละทิ้งวิชาที่ปู่ย่าตาทวดเปิ้นสอนสั่งมาหรอกลูก แต่ผีตนนั้นมันยอมขายวิญญาณตั๋วเก่า ก็ไค่ที่อยากจะมีอำนาจ มีพลังเหนือกุกคน แต่จำไว้หื้อดี ว่าบนโลกนี้ ความดีชนะกุกอย่างได้ วิชาบรรเลงที่บ้านเฮาใช้รักษาผู้คน สืบทอดมาจากเทพคนธรรพ์บนสวรรค์เลยหนา สมัยตี้ป้อยังละอ่อนนัก ป้อเห็นป้ออุ้ยแม่อุ้ยเปิ้นใช้วิชาคนธรรพ์ดีดซึง ดีดพิณปราบผีจนเสี้ยง ซึงเครื่องสายที่ลูกใช้อยู่นี้ ก็ตกทอดมาจากรุ่นป้ออุ้ยเปิ้นเลย จะอั้นก็ฮักษาวิชาบรรเลงนี้หื้อดีนะ”
พ่อเล่าให้ผมฟังอย่างอบอุ่นใจว่า ผีร้ายเมื่อวานที่เห็นขายวิญญาณให้ปีศาจเพราะอยากจะมีพลังอำนาจมาก แต่ก็กลับพ่ายแพ้ให้กับปู่กับย่าในสมัยพ่อยังเป็นเด็ก เพราะสู้วิชาคนธรรพ์ของบ้านเราไม่ไหว พ่อจึงชี้ให้ผมเห็นว่าซึงเครื่องสายที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ก็ตกทอดมาอีกที ฟังดูแล้วภูมิใจจัง แม้ว่าผมจะเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เรื่องดนตรีนี่ ขอเป็นหนึ่งเรื่องที่เอาไว้เสริมความมั่นใจแล้วกัน ว่าอย่างน้อยก็มีดีกับเขาบ้าง
“ค่ำนักแล้ว หื้อฟั่งเข้านอนโวยๆ” พ่อลุกขึ้นแล้วตบที่บ่าของผมเบาๆก่อนจะค่อยๆเดินไปทางประตู
“อ้อ ระวังสายขาหื้อดี อย่าหื้อหลุดอีก แล้วก็อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนโตยเน้อ” พ่อสั่งกำชับเรื่องให้ดูแลใส่สร้อยข้อเท้าก่อนเดินออกไป
ใครจะยอมถอดสร้อยข้อเท้าล่ะ ถอดออกที ผีพวกนั้นก็จ้องสิงร่างผมเข้าสิ นี่มันพรอะไรจากสวรรค์กันเนี่ย แต่ก่อนเห็นผีแบบลางๆ เดี๋ยวนี้เห็นชัดระดับ Full HD ไปอีก
"ZZZzzzzz ZZZzzz"
.
.
.
ขณะนี้เวลา 03.00 น.
“ตื่นได้แล้ว เจ้ามนุษย์ขี้เซา” เสียงใสๆ ของใครบางคนกำลังปลุกสินทราย ที่กำลังหลับอุตุอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่
“อือ อือ” เสียงครางตอบรับเบาๆ เด็กหนุ่มพลิกตัวเล็กน้อย นรุตม์ยิ้มอย่างใจเย็น แกล้งร่ายมนต์เพียงกระดิกนิ้วก็พัดสายลมเย็นๆ ปะทะที่ปลายเท้าของสินทราย
ได้ผล! เด็กหนุ่มชักเท้ากลับเข้าไปในม้วนผ้าอย่างรวดเร็ว
“ตื่นเถอะสินทราย นายนี่ช่างขี้เซาจริงๆ” นรุตม์ดูจะทนไม่ไหว ใช้เวทย์ผลักผ้าห่มออก สินทรายรีบม้วนตัวขดเป็นกุ้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาตามเสียง
“ตื่นแล้ว!!! ตื่นแล้วค้าบ” ความงัวเงียยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า “นี่ยังไม่เช้าเลยนะ” ผมเผลอบ่น
.
.
“นี่ เอาไป..รายชื่อชาวบ้านที่ถูกผีร้ายรังควานในละแวกนี้” นรุตม์สะบัดรายชื่อเรียงเป็นแถวยาวกว่า 10 คน
ผมขยี้ตาอย่างแรง แล้วอ่านอย่างละเอียด คิดในใจว่าเอาให้ผมดูทำไม พักนี้ผมก็เห็นผีอยู่ทุกวัน
“แล้วยังงัยหรอ” ผมเกาหัวแกรกๆ ถามหน้าตาซื่อๆ
“นี่แหนะ มนุษย์นี่ขี้ลืมจริงๆ” นรุตม์ดีดหน้าผากสินทรายเรียกสติ
“นายลืมแล้วหรอ ว่าสัญญาอะไรกับชั้นไว้” รอยยิ้มที่ใจดีปนเจ้าเล่ห์ของนรุตม์ถูกแทนด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“จำได้แล้วครับ” ผมตอบเสียงอ่อย
“แต่ไม่คิดว่าจะมาปลุกแต่เช้ามืดนี่นา” ผมบ่นมุบมิบ
.
.
“ทำตามข้อตกลงที่ลั่นวาจาไว้สะ” “เจ้าต้องใช้วิชาของคนธรรพ์ให้เป็นประโยชน์” นรุตม์จริงจังอีกครั้ง
“นายต้องไปกับชั้นเดี๋ยวนี้”
“ฮ่ะ!! ตอนนี้เลยหรอ เมื่อวันก่อนผมยังถูกผีเข้า เกือบตาย วันนี้จะให้ไปล่าผี ไม่เอาอ่า จะนอนต่อ!!”
นรุตม์ก้มลงถอดสร้อยข้อเท้าของสินทรายทันทีแบบเผด็จการ และเขาก็ใช้พลังเวทย์ดึงกายละเอียดของสินทรายออกมาจากนั้นก็ดึงทะยานลอยออกจากหน้าต่าง
ทั้งสองหายวับไป ทิ้งร่างกายมนุษย์หยาบของสินทรายให้นอนคุมโปงต่อไป
นรุตม์จับมือสินทรายไว้ตลอดเวลา เพราะเขารู้ว่าจิตของเด็กคนนี้ยังไม่มั่นคงพอ หากปล่อยให้ละสายตา อาจจะตกเป็นเป้าหมายโจมตีของเหล่าผีร้ายได้
“มือนุ่มจังแฮะ” ผมคิดในใจ เพราะมือแม่ผมที่ว่านิ่ม ยังไม่อ่อนนุ่มเท่ามือนรุตม์
“มันเป็นความรู้สึกของกายละเอียดน่ะ” “ทุกอย่างมันดูนุ่มละมุนไปหมด” นรุตม์ยิ้ม ความรู้สึกหวาดกลัวนิดๆคืบคลานเข้ามา แต่ก็ดูอุ่นใจ เกิดเป็นลูกคนเดียวแสนเปล่าเปลี่ยว วันนี้เหมือนมีพี่ชายกับเขาสักคน แม้จะเป็นพี่ชายต่างภพก็เถอะ
.
.
ณ บ้านไม้ชั้นเดียวไม่ไกลจากตัวเมือง ที่เปิดไฟสว่างทั่วบ้านในยามวิกาล ย่อมมีเหตุที่ผิดปกติแน่นอน เสียงฝีเท้าของคนในบ้าน สลับกับเสียงร้อง เสียงพูดคุย ความเงียบสงัดกลางดึกทำให้เสียงเบาๆ ดังได้เช่นกัน นรุตม์และสินทรายปรากฏกายอยู่ที่หน้าประตูบ้านหลังนี้
“ได้ยินเสียงอะไรมั้ย พี่ชาย” ผมได้ยินเสียงร้องไห้มาจากในบ้านหลังนี้ แต่ทว่าผมก็ยังไม่มั่นใจ นรุตม์กระชับมือผมแน่นก็จะเดินฝ่าประตูไม้เข้าไป
“พุทธโธ ธัมโม สังโข ช่วยลูกของข้าเจ้าโตยเน่อ” แม่อุ๊ยหญิงชราคนหนึ่งพร่ำร้องแล้วกอดร่างลูกชายวัยเบญเพศที่นอนแน่นิ่ง สีหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วย ริมฝีปากม่วงคล้ำ เนื้อตัวขาวโพลน แม้กระทั่งสีเล็บ ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ตาม นรุตม์ชี้ไปที่ผีร้ายเงาดำ ตาสีแดงกร่ำยืนคร่อมอยู่ตรงศีรษะของชายที่นอนนิ่ง มันกำลังสูบพลังวิญญาณของชายหนุ่มคนนี้ ในขณะที่มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น ลมหายใจที่โรยริน ลมปราณสุดท้ายของชีวิตกำลังจะถูกขโมยไปหมดสิ้น
“สินทราย นายเรียกเครื่องบรรเลงวิเศษ ออกมา อะไรก็ได้” ผมทำหน้างง ผมไม่ได้หยิบอะไรมาด้วยเลย หรือว่ายกมือชูขึ้นเรียกแล้วอาวุธคู่กายจะลอยมาหา บ้าไปแล้ว
“ยังจะชักช้าอยู่อีก เดี๋ยวเจ้ามนุษย์นั่นก็ตายก่อนหรอก ดูนี่ กำหนดจิตให้นิ่ง นึกถึงเครื่องดนตรีที่คุ้นชิน”
.
“บริ๊ง!!!” แสงประกายสีเขียวสว่างแว๊ปนึงข้างกายของนรุตม์ ปรากฏเป็นพิณสีน้ำตาลทองที่สวยงาม ซึ่งผมได้เห็นว่าเขาใช้บรรเลงปราบผี
เป็นพิณที่น่าเกรงขามแถมดูวิจิตรประณีตมาก ผมจึงลองนึกดูบ้าง
“เอานะ...3..2..1 ออกมาสิ ออกมา” หลับตาในแว๊ปแรกของผมนึกถึงซึงที่ผมได้รับมาจากพ่อ มันคุ้นตาที่สุดเพราะผมใช้เล่นอย่างถนุถนอมแต่เด็ก
“บริ๊ง!!!” และก็สำเร็จตามคาด ในมือผมมีซึง 4 สายปรากฏพร้อมแสงสว่างชั่วครู่
“เล่นเพลง วิญญาณรำเพย” นรุตม์สั่งให้ผมเล่นบทนี้ทันที ผมถึงกับแปลกใจมาก เพราะบทนี้เป็นวิชาชั้นสูงของต้นตระกูลผม และกว่าที่ผมจะเล่นบทนี้ได้ก็ใช้เวลา 1 ปีเต็ม
แววตาของนรุตม์ฝากความหวังไว้ที่ผมเป็นอย่างมาก เขารีบไปจัดการกับผีร้ายในทันที เขาดีดพิณคู่กายไป 1 ครั้ง ลำแสงก็พุ่งชนวิญญาณผีร้ายกระเด็น
ส่วนผมมีหน้าที่เรียกดวงจิตที่แตกสลายมารวมตัวกันอีกครั้งให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างเดิม ไม่มีเวลาให้รออีกแล้ว ผมรีบดีดซึงทันที
“เอาว่ะ สินทราย ตั้งสติ” “เห็นพ่อทำแบบนี้บ่อยๆ เราต้องทำได้”
‘จรดจิตปลายนิ้วดีด ก้องกังวาล
ท่วงทำนองนำวิญญาณ ตื่นรู้
ลมรำเพยพัดหวน คืนมา
ฟื้นสติชื่นชีวา พาพบเจอ’
กลิ่นหอมของบุปผชาติลอยฟุ้งตลบอบอวลในทันที นำทางสว่างให้ดวงจิตที่แตกสลายมารวมกัน เหมือนถูกเรียกคืนด้วยเสียงซึง
ดวงจิตกลมใสกำลังรอเศษดวงจิตที่เหลือ มันลอยหมุนอยู่เหนือปลายจมูกของชายวัยเบญจเพศ เสียงซึงเส้นสุดท้ายสิ้นสุดลง
ดวงจิตที่รวบรวมมาได้นั้นถูกประทับกลับเข้าร่างเดิม เข้าทางจมูกแล้วเคลื่อนที่เข้าสู่ศูนย์กลางกาย ที่บริเวณกลางท้องเป็นอันเสร็จสิ้น ชายหนุ่มสะดุ้งตัวขึ้นเหมือนได้สติ
ผีร้ายเกรี้ยวกราดด้วยความโมโห มันหนีจากนรุตม์เปลี่ยนเป้าบันดาลสายลมโหมกระหน่ำ เข้าใส่สินทราย การเคลื่อนที่ของมันรวดเร็วมาก แม้อยู่ระยะไกลก็กระโจนถึงได้ในไม่กี่วินาที แต่ยังไม่ทันถึงตัวผม ก็มีเสียงเหมือนแส้ฟาดลง แล้วมัดตรงที่ขาของวิญญาณร้าย
“ตึ๊ง!!” นรุตม์ใช้เส้นสายของพิณตรึงจับที่ผีร้ายได้อย่างแม่นยำ กระชากดึงวิญญาณเงาดำหงายท้อง
“ส๊วบ!!” เสียงกระตุกสายพิณที่รัดขาทำเอาร่างของผีร้ายกระเด็นลอยกลับไปหานรุตม์ ในทันทีที่ใกล้ถึงตัว เขาใช้ฝ่ามือซัดที่กลางอก ผีร้ายเงาดำกลิ้งเลียบไปกับพื้น
เงาร่างขยับวูบ กระอักเลือดสีดำ ก้มหน้าอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน นรุตม์เดินเข้าไปใกล้ๆเงาดำนั่นแล้วก้มนั่งลงดูอย่างช้าๆ ผมรู้สึกสะใจเล็กๆ นรุตม์นี่เทพจริงๆ เก่งชะมัด ปราบผีสะอยู่หมัด แต่สายตาของผีร้ายที่แหงนมองนรุตม์ทำเอาใจผมหล่นไปที่ตาตุ่ม มันดูหยิ่งผยองไม่เกรงกลัว แล้วทันใดนั้นมันก็เอื้อมมือบีบคอของนรุตม์ทันที
“เห้ยยย นรุตม์” ผมตะโกนร้องเสียงดัง แล้ววิ่งออกไปสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างเร่งรีบ นรุตม์เข่าทรุดลงจากนั้นผีร้ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วสูบวิญญาณของนรุตม์จนร่างของเขาสลายไป ผีร้ายหันมามองที่ผม
“...ทำไงดี ทำไงดี ตายแน่แล้วเรา โอ้ยยย ไม่นะ แล้วนรุตม์โดนมันกินไปแล้วจริงๆหรอนี่ ไม่อยากเชื่อเลย”
ผมรีบกระโจนตัวหนี วิ่งไปได้ไม่ไกลผีร้ายก็จับขาผมดึงกลิ้ง ล้มไปกับพื้นสนาม
ผีร้ายในตอนนี้ ร่างของมันเป็นเงาดำๆ ตาแดงๆยืนอยู่ตรงหน้าของผมชัดเต็ม 2 ตา มันค่อยๆเดินเข้าหาผมอย่างกับฆาตกรโรคจิต มันกำลังเข้ามาเอาหน้าก้มแนบลงที่ใบหน้าของผม
ทันใดนั้นเอง เสียงพิณพิฆาตดังขึ้น ปรากฏเป็นแสงสว่างวาบขึ้นมา
ผมจำเสียงพิณนี้ได้เป็นอย่างดี ภายในพริบตาเดียว ร่างของผีร้ายก็ฉาบด้วยแสงสีเขียวนวลจากด้านหลังและค่อยๆ สูญสลายไปในที่สุด
“นรุตม์!!! โอ้ พ่อแก้วแม่แก้ว นายยังไม่ตาย” ผมร้องดีใจสุดเสียง ทีแท้ร่างที่โผล่ขึ้นด้านหลังของผีร้ายเป็นร่างจริง
เขาใช้วิชาแยกเงา สร้างร่างภาพลวงตาขึ้นมาให้ผีร้ายตายใจ ผมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหานรุตม์
“โถ่ หลอนสุดๆไปเลย เคยเห็นแต่ผีหลอกคน แต่นี่ท่านรุตม์หลอกผีสะมันตายใจคิดว่ามันจะชนะสะแล้ว”
“นี่... ชั้น ไม่ได้หลอกผีนั่น ชั้นแกล้งหลอกเจ้ามนุษย์บางคนต่างหาก มนุษย์ขี้เซา แถมซื่อบื้อด้วย
เอ่อภาษาที่คนแถวนี้ใช้พูดอีกคำว่าอะไรนะ ....ง่าววว ใช่ไหม จัดง่าว ฮ่าๆๆๆ” นรุตม์หัวเราะลั่นที่แกล้งหลอกผมได้สนิทใจ
“โหหห นี่รู้จักกันไม่เท่าไหร่ หลอกผมไม่พอ ด่าผมว่าโง่อีก เสียใจคนอุตส่าห์เป็นห่วง” ผมตัดพ้อน้อยใจ
“เอาหน่าๆ ภารกิจเสร็จสิ้น” “นายเก่งมาก” นรุตม์ตบบ่าสินทรายเบาๆ
“กลับไปนอนต่อได้แล้ว ใช่ป่าว” ผมลองแย่บถาม นรุตม์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดกระดาษที่จดรายชื่อชาวบ้านที่เดือดร้อนที่เหลือ ผมนี่ตาลายเลยครับ นี่ก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว
“เมื่อกี้ชั้นสาธิตให้นายดูว่าถ้าไม่ระวังตัว ผีร้ายที่เราไปปราบ มันจะปราบเราแทน เอาล่ะคราวนี้ ตานาย โซโล่คนเดียวล่ะ”
ไม่ทันจะได้ตั้งตัว ผมก็หายวับไปพร้อมกับนักเวทย์กายสิทธิ์ ไม่ทันได้หายเหนื่อยดี ผมกับนรุตม์ก็มาโผล่ที่คอนโดหรู ตึกระฟ้าย่านใจกลางเมือง
แม้ว่าบ้านผมยามนี้จะมืด แต่ที่นี่ยังคงจอแจและสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
“นั่น บนนั้น” นรุตม์ชี้ให้ผมเห็นเด็กสาวบนคอนโดสูง เธอกำลังจะคิดสั้น “ทำยังไงดี” ผมรีบถามทันที เพราะครั้งนี้ต่างจากชายเบญจเพศเมื่อสักครู่
“ตามชั้นมา” ไม่ทันขาดคำนรุตม์พาสินทรายเหาะขึ้นไปยังคอนโดสูงด้วยรองเท้าวิเศษที่มีปีกกินรีเล็กๆ ไปตัวขับเคลื่อน
นรุตม์อาจจะลืมไปว่าสินทรายกลัวความสูง
ใช่ครับผมหลับตาปี๋เลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที ผมก็กลัวครับ เมื่อเท้าผมแตะที่พื้นระเบียง ขาทั้งสองข้างอ่อนระทวย
นรุตม์ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผมลงไปนั่งพับเพียบทรุดลงกับพื้น สายตาเขาดูเป็นห่วงผมอย่างเห็นได้ชัด นี่ผมมาช่วย หรือมาเป็นภาระกันเนี่ย
“ไม่เป็นไรๆ นายไปช่วยน้องผู้หญิงก่อน” ผมโบกมือปัดๆ บอกว่ายังไหว
นรุตม์ก็ปล่อยผมทิ้งไว้จริงๆ แล้วดีดตัวเสกพิณมากลางอากาศ ตรงเข้าไปที่ร่างของเด็กสาว แล้วดีดพิณเสียงดัง 1 ครั้ง
“ตึ๊ง!!”
ที่แท้แล้วในตัวของหญิงสาวมีผีร้ายพยายามครอบงำให้เขาจิตตก คิดสั้นจนอยากกระโดดตึก ลำแสงจากพิณกระทบเข้าที่ร่างเงาดำมืดของผีร้ายจนกระเด็นออก
มันพลิกตัวมองมาที่นรุตม์แล้วตวาดเสียงดังลั่น
“นังนี่ต้องเป็นตัวตาย ตัวแทนของข้า” ผีร้ายแววตาโกรธเคือง หมายกินเลือดกินเนื้อเต็มที่ มันใช้กงเล็บยาวแหลมหมายจะขย้ำนรุตม์
“นังผีประสาท!!! ตรรกะประหลาดแท้ ขี้เกียจอยู่ก็ไปผุดไปเกิดสิ พับผ่า!!! จะไปรังควานเอาวิญญาณคนอื่นมาเฝ้าแทนทำไมล่ะ มีสมองอ่า คิดดิ หรือว่าไม่มี"
นรุตม์ตะโกนด่าผี เออ เขาไม่สวดมนต์ไล่ผีกันแล้วหรอ เดี๋ยวนี้ แต่นังผีนั่นดูท่าทางโกรธจัด มันกระโดดพุ่งใส่ ง้างกรงเล็บมาแต่ไกล
“ฤทธา ญานัง พลังฤทธา” “เกราะกำบังจงปรากฏ!!!”
เกราะแก้วสีเขียวปรากฏฉับพลันภายหลังที่นรุตม์บริกรรมคาถา
. . .
กงเล็บแหลมคมปะทะเข้ากับเกราะอย่างจัง ในขณะที่มันพุ่งทยานใส่นรุตม์
เสียงผีร้ายร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ดูท่าทาง มันก็ไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ ผีร้ายบันดาลโทสะ พ่นไฟนิลสีแดงดำดูท่าจะร้อนมากๆใส่เกราะอย่างบ้าคลั่ง
มันเหลือบสายตาหันมาทางสินทราย นรุตม์คาดการณ์อนาคตได้แม่นยำ เขาบอกให้สินทรายรีบไปที่ร่างเด็กสาวทันที
“โอเคๆ ผมรู้ หน้าที่ของผมให้ดูแลสาวน้อยคนนี้ใช่ไหม” เมื่อผมเข้าใกล้ตัวหญิงสาวได้ นรุตม์ก็เสกมนต์กำบังเป็นเกราะแก้วสีเขียวนวลครอบตัวในทันที
ผีร้ายตาเหลือกลานมันหาผมกับเด็กสาวไม่เจอ เสียงร้องของมันแหลมปี๊ด
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด” “มึงเป็นใคร ทำไมต้องมาขัดขวางกู”
“ฮ่าๆๆๆ คุยกับใคร ฮ่าๆๆ เอานี่ไปกิน" นรุตม์โยนลูกสตรอเบอรี่ที่มีแสงออร่าสีเขียว เหมือนกับว่านรุตม์ร่ายมนต์ปลุกเสกใส่ไว้ ดูทำๆ ขว้างเล่นเป็นลูกแก้วเลย เสียดายยย
น้องสตรอเบอรี่จากไร่ที่บ้าน เพิ่งออกผลเปล่งปลั่งในวัยสาวแรกแย้ม ผมยังไม่ทันจะได้ใช้ริมฝีปากของผมสัมผัสเลย ตอนนี้เกลื่อนกลาดเต็มพื้นไปหมด
"โอ้โอววว ชีวิตเทวาพิทักษ์ งานหลักของเราคือคุ้มครองมนุษย์ ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน”
นรุตม์พรึมพรำบ่น หรือร้องเพลงว่ะนั่น แต่ขำดี โยนสตรอเบอรี่ใส่ 1 ครั้ง ผีร้ายก็ร้องโอดโอยไป 1 ที
“เอาล่ะ นวดได้ที่ล่ะ นวดจนน่วม เจ้าควรไปยมโลกซะที” นรุตม์ยืนประจันหน้าอย่างห้าวหาญ หลังจากใช้สตรอเบอรี่ปลุกเสกขว้างใส่จนผีทรุดนั่ง ก็ได้เวลาท่าไม้ตาย
“กูรอคอยเวลานี้มานานหลายร้อยปี กูไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ เด็ดขาด”
“เชอะ!! เทพกระจอก อยู่ดีๆ อยากแส่เรื่องชาวบ้าน มึงจะได้รู้ว่าอำนาจแห่งปีศาจมันเป็นเช่นไร”
ผีร้ายดูมั่นใจมาก มันค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น คราวนี้มันจ้องหน้านรุมต์แล้วแผดเสียงร้องใส่ ดังลั่น
"อร๊ากกกกกยยย"
มันอ้าปากปล่อยไฟนิล ออกมาถาโถมเผาทำลายเกราะแก้ว พลังแห่งความโกรธแค้นอาฆาตมีมากทวีคูณ
นรุตม์ใช้เวทย์เนตรนิมิตรเพื่อค้นดูสาเหตุแห่งความโกรธแค้น
จึงพบว่าเด็กสาวคนนี้ ในอดีตนั้นคือ แม่เล้า ที่หลอกเธอมาขายบริการให้กับนายทหารบ้ากาม ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอไม่ยอม ดิ้นรนเพื่อที่จะหนีเอาตัวรอด แต่ก็ถูกเด็กสาวคนนี้ในอดีตตามจับกลับมาได้ทุกครั้ง เธอถูกทารุณ ใช้กำลังต่างๆ นานา นายทหารเดนตายก็ใช้กำลังในการขืนใจ เธอทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ก่อนสิ้นใจเธอขอสาบานขายวิญญาณให้แก่ปีศาจเพื่อตามล้างแค้นเธอทุกภพทุกชาติ
“นังนี่ มันสมควรตาย” “กูจะฆ่ามัน” “กรี๊ดดดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธแค้นทะลวงโสตประสาท นรุตม์เองก็ไม่คิดว่าความแค้นของผีร้ายตนนี้จะหนักหนาเอาการ เสียงร้องแผดเผาทำลายมนต์กำบังของนรุตม์ ผีร้ายเห็นร่างของเด็กสาวคนนั้น มันรีบพุ่งโจมตีทันที นรุตม์ใช้พิณร่ายเวทย์เถาวัลย์ดักผีร้ายตนนั้นไว้ให้เดินช้าลง แต่ก็ไม่สะเทือนมากนัก ผีร้ายยังคงเดินหน้าช้าๆเพื่อหมายโจมตีหญิงสาวต่อเนื่อง
“ไม่ได้การล่ะ มันกำลังเดินมาทางผม" ผมกลัวสุดขีด ตะโกนร้องดังลั่น
“อย่าๆๆ อย่าเข้ามานะ ...นรุตม์ๆ มันกำลังเดินเข้ามาแล้วววว” นรุตม์ได้ยินผมตะโกนก็ร่ายเวทย์ปรากฎเป็นเถาวัลย์สายยาวพันแข้งพันขาให้เจ้าผีร้ายเดินช้าลง
ผมโวยวายร้องลั่น ขณะเห็นมันเดินมาหาช้าๆ นี่ขนาดโดนเถาวัลย์มัดขาอยู่ ยังเดินได้เลย นรุตม์ตะโกนบอกสินทรายว่า
“คราวนี้ตานายแล้วสินทราย ลองจัดการปราบผีตตนนี้ดูสิ ...เรียกซึงวิเศษของนายออกมา”
นรุตม์ใช้พิณร่ายเวทย์เถาวัลย์ พันจับผีร้ายให้แน่นขึ้น ผมมองไปที่นัยน์ตาของผีร้าย แม้ภายนอกจะดูน่ากลัว ดุร้าย อาฆาต แต่ในแววตาเหตุใดจึงดูน่าสงสารเพียงนี้
เนื่องจากผีร้ายตนนี้เป็นผู้ถูกกระทำตั้งแต่ต้น นั่นหมายความว่าจิตเดิมของเขาคือจิตที่บริสุทธิ์
หากแต่ดวงจิตแห่งความดีถูกทำให้ศรัทธานั้นสูญสิ้น จึงได้แตกกระเจิงไป
นรุตม์หันมาทางสินทรายเหมือนจะรู้วิธีแก้ไข
“เพลงวิญญาณรำเพย” “ลองเรียกดวงจิตดั้งเดิมของผีร้ายดูสิ”
ผมพยักหน้ารับคำนรุตม์ในทันที สมาธิที่มั่นคง จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา พลังแห่งความดีบรรจบลงที่ปลายนิ้ว ผมหยิบซึงขึ้นตั้งในท่าที่ถนัด
เสียงซึงของผมดังขึ้น จังหวะแรกเรียก สติสัมปชัญญะ จังหวะที่สองเรียกความดีในจิตใจ บทเพลงค่อยๆ กล่อมเกลาดวงจิตด้วยท่วงทำนองที่อ่อนละมุน หากแต่จังหวะนั้นมั่งคงไม่ไหวเอน กลิ่นหอมของมวลบุปผชาติลอยฟุ้งทั่วบรรยากาศ ผีร้ายที่เคยบันดาลโทสะ ก็ทุเลาอาการเกรี้ยวกราด แววตาสลดลง ยืนนั่งอยู่ตรงระเบียง เหลือเพียงเสียงร้องไห้สะอื้น ผลข้างเคียงของเพลงบทนี้ยังทำให้เด็กสาวค่อยๆ ขยับตัว เขารู้สึกได้ถึงฝันร้ายที่ผีตนนี้ตามมาครอบงำ
และทุกๆคืน เขามักจะฝันว่าผีร้ายตนนี้เจ็บปวดที่ตนเคยทรมานทุบตีมาในอดีต หญิงสาวใช้สองมือยันตัวเองขึ้นนั่ง ท่ามกลางความมืดบนตึกชั้นดาดฟ้าที่ไม่มีใคร
เพลงพิณของนรุตม์ช่วยบรรเลงประสานกับเสียงซึงของผมอีกแรง
ความไพเราะของ 2 เครื่องดนตรียังคงถูกดีดบรรเลงต่อไป แววตาแห่งความรู้สึกผิดต่อบาปอันมหันต์ของหญิงสาวที่เคยทำไว้ พรั่งพรูด้วยสายธารแห่งคำว่าขอโทษ ความสำนึกต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป เด็กสาวสะอื้นไห้ตัวโยน ก้มตัวหมอบกราบกรานแทบเท้าดวงวิญญาณ เสียงพิณแผ่วเบา จังหวะราบเรียบ อ่อนละมุน เพื่อกล่อมดวงจิตของทั้งสองให้สงบและเกิดสมาธิ
“หนูขอโทษ หนูขอโทษ หนูขอโทษ” เด็กสาวพูดเสียงสั่นคลอ
“ในอดีต หรือภพชาติไหน ที่หนูทำผิดพลาดไป ทำให้ใครเจ็บช้ำ หนูขออโหสิกรรม” เด็กสาวปาดน้ำตาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เสียงสะอึกสะอื้นยังคงปรากฏ ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวต่อบาปที่ตนได้ก่อขึ้นในอดีต เสียงพิณของนรุตม์และเสียงซึงสุดท้ายจบลง แสงสีเขียวนวลทอประกายไปยังวิญญาณของสาวผู้ถูกกระทำ
“ที่หนูฝันร้ายทุกคืน ฝันถึงคุณ ทั้งหมดมันเป็นเพราะหนูเอง หนูขอโทษ ขอโทษนะคะ” “มันเกินกว่าที่จะให้อภัยจริงๆ” “หนูขอโทษ หนูสำนึกผิดแล้ว หนูสำนึกได้แล้วจริงๆ” เสียงร่ำไห้แห่งการรู้สึกผิด สำนึกในบาปที่ตนได้ก่อขึ้นในอดีต วิญญาณสาวตรงหน้าเอื้อมมือพร้อมกงเล็บยาวแหลมมาตรงหน้าของเด็กสาว ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี ผมสะบัดข้อมือจากนรุตม์และรีบเอาตัวบังเด็กสาวคนนั้นไว้
“ได้โปรด ละความอาฆาตพยาบาทลงก่อนเถอะนะ” วิญญาณสาวชะงักและนิ่งลง น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสายเช่นกัน
“จิตเดิมแท้ของเธอกลับมาแล้ว เธอไม่ได้มีเจตนาเอาชีวิตเด็กสาว แต่เธอกำลังจะอโหสิกรรมให้ต่างหาก” นรุตม์บอกสินทรายด้วยเสียงที่สงบนิ่ง แสงสีเขียวนวลยังคอทอประกาย
“ดูนั่นสิ ลำแสงนั่น คือแสงแห่งการตื่นรู้ของดวงจิต ทุกอย่างปลอดภัยแล้ว” นรุตม์ชี้ไปที่ลำแสงนั่นพร้อมคำอธิบาย วิญญาณสาวมองหญิงสาวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ก่อนที่จะลาจากไปยังที่ที่ควรไป รอยยิ้มแห่งความปล่อยวางปรากฏที่ใบหน้าของวิญญาณสาวเป็นครั้งสุดท้าย แสงสีเขียวนวลค่อยๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงเด็กสาวที่ยังคงร้องไห้ต่อบาปของตน
“สินทราย ฟังให้ดี นายคือมนุษย์ที่มีดวงจิตละเอียดอ่อน สามารถสัมผัสหรือพบเห็นวิญญาณได้ พรสวรรค์นี้เจ้าได้มาแต่ตอนเกิด” นรุตม์หันมากล่าวจริงจังกับผม
“การที่ผมร้องไห้ ตื่นกลางดึกแบบนั้นน่ะเหรอ ที่เรียกว่าพรสวรรค์” ผมถามกลับแบบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง นรุตม์พยักหน้าแทนคำตอบ
“ด้วยความรักและความเป็นห่วงของพ่อแม่นายเอง” “คิดว่ามันคือเรื่องร้าย จึงจำกัดพรสวรรค์ด้วยเครื่องราง”
“สร้อยข้อเท้า ....???”
“ใช่ ถ้านายถอดสร้อยข้อเท้าออก นายจะสามารถถอดจิต ถอดกายได้”
นรุตม์พาสินทรายกลับมาที่บ้าน พอดวงจิตกายละเอียดเข้าร่าง สินทรายก็ลุกขึ้นได้สติ สวมสร้อยข้อเท้าเงินทันที นรุตม์ได้อธิบายต่อว่า
สร้อยเงินที่ติดกับข้อเท้านี้เป็นเครื่องรางโบราณที่จารึกด้วยเวทย์ของเทพคนธรรพ์
“พี่ชายยย นี่กำลังจะบอกว่า ต้นตระกูลของผมเป็นเทพหรอ” นรุตม์พยักหน้าตอบคำถามสินทรายอีกครั้ง
“ปู่ทวดของนาย สืบเชื้อสายมาจากเทพคนธรรพ์ จากดินแดนหิมวา บ้านเมืองของชั้นไง”
“ตระกูลของนายจึงได้มีวิชาความรู้เกี่ยวกับการแพทย์โบราณและเวทย์คาถาคนธรรพ์ไงล่ะ”
“แล้ว...ว่าแต่ ทำไมช่วงนี้ผีร้ายจึงอาละวาดหนักขนาดนี้ล่ะ” ผมถามนรุตม์ เพราะนรุตม์เคยบอกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับผู้เลี้ยงผู้รักษา เราทุกคนมีผู้พิทักษ์ด้วยกันทั้งสิ้น
“เรื่องนี้ชั้นเองก็สงสัยมาสักพัก หลายๆบ้านไร้วี่แววผู้พิทักษ์ คงมีบางอย่างเกิดขึ้นที่หิมวา ผู้พิทักษ์ไม่ได้ลงปกปักษ์รักษามนุษย์ได้เหมือนแต่ก่อน ผีร้ายที่บูชาปีศาจได้ใจ เหิมเกริมกันใหญ่ เข้าครอบงำทั้งในฝัน พยายามสิงสู่แม้ยามตื่น ข้าคงต้องหาเวลากลับไปที่หิมวาบ้านเกิด เพื่อหาคำตอบของเรื่องนี้สักวัน”
“เอาเป็นว่า นี่คือพรสวรรค์ที่มาพร้อมกับหน้าที่ของนาย ฝากนายเร่งฝึกฝนวิชาด้วย”
นรุตม์กล่าวกับสินทรายอีกครั้ง พร้อมยื่นตำราโบราณ 1 เล่มให้ไว้ "ตำราคนธรรพ์!!!"
แววตาสีหน้าจริงจัง และหนักแน่นกว่าทุกครั้งที่เคยสนทนากัน ผมค่อยๆเปิดตำราก่อนนรุตม์จะล่องหนหายตัวไปอีกเช่นเคย
________________________________________________________________________________________________________________________________________
**** อ่านจบแล้ว เป็นยังไงกันบ้าง ...ช่วยคอมเม้นต์แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจนักเขียนได้ที่ช่องข้อความข้างล่างนะครับ
https://www.facebook.com/TheHIMVA