(นิยาย)The Himva : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 1 "เทวาพิทักษ์" | บทความ

บทความ


(นิยาย)The Himva : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 1 "เทวาพิทักษ์"

Blog Single

คำนำผู้เขียน

  เคยคิดเล่น ๆ กันไหมว่า หากโลกมนุษย์ของเรามีมิติลี้ลับอยู่ แล้วพวกเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนกับเรา ปะปนอยู่กับเรา แล้ววันนึงจู่ ๆ พวกเขาก็มาปรากฏตัวให้เราเห็นบ้าง หรือบางโอกาส เราก็สามารถเข้าไปท่องเที่ยว ในมิติโลกลี้ลับของเขาบ้าง หากมันเป็นจริงขึ้นมา พวกเราคิดว่ามันจะสนุกแค่ไหนนะ

อย่างเช่น ดินแดนป่าหิมพานต์ ที่หลายคนรู้จักจากวรรณคดี บ้างก็รู้จักจากเรื่องราวพุทธประวัติ ถ้าดินแดนนี้มีอยู่จริง ๆ จะเป็นเหมือนอย่างที่เราเรียนรู้มาหรือไม่ ชาวเมืองหิมพานต์มีหน้าตาอย่างไร เขาใช้ชีวิตกันแบบไหน และที่สำคัญพวกเขาต้องมาเรียนหนังสือ หรือทำงานหาเลี้ยงปาก เลี้ยงท้องเหมือนกับพวกเรามั้ยนะ

เรื่องราวต่อจากนี้ จะชวนทุกคนมาสัมผัส กับอาณาจักรป่าไม้สีทอง ดินแดนลักษณะ 6 เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่พิศดาและหนึ่งในนั้นคือเหล่าบรรดานักเวทย์กายสิทธิ์ ดินแดนที่มีนามว่า “หิมวา” เมื่อหลายพันปีก่อนดินแดนแห่งนี้คล้ายดั่งสวรรค์ชั้นต้นก็ไม่ปาน มองไปทางไหนก็มีแต่ความสุนทรีย์ สงบสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝัน และบานปลายจนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธ์ุ สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างนักเวทย์กายสิทธิ์ 2 ตระกูลใหญ่ สร้างความสั่นคลอนทั้งยมโลก ภพสวรรค์ และโลกมนุษย์

สงครามครั้งนี้ไม่ธรรมดา ชนเผ่าที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จะถูกนักเวทย์อีกฝ่ายปกครอง บ้างถูกจองจำ บ้างถูกจับเป็นทาส เหล่านักเวทย์ผู้วิเศษที่ใช้เวทย์มนต์ ถูกยึดดวงแก้วประจำกายจนกลายเป็นผู้ไร้อาคม แน่นอนว่าพวกเขาต้องหลบหนีมายังโลกมนุษย์ เราจึงอยากจะมาเตือนพวกมนุษย์เอาไว้ก่อน เพราะชาวเมืองหิมวาหลากหลายชนชั้น ความเก่งกล้าในการใช้เวทย์กายสิทธิ์ก็ต่างกันออกไป ยิ่งพวกที่อำนาจบาทใหญ่ เป็นลูกท่านหลานเธอระดับชนชั้นผู้นำ ราชบุตรสืบวงศ์ตระกูลอีกพวกนี้มักเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาแต่ใจเป็นที่สุด มักจะหลอกล่อมนุษย์มาเป็นบริวาร ดีไม่ดีตอนนี้คุณอาจจะตกเป็นบริวารของพวกเขาเหล่านั้นไปแล้วก็เป็นได้

                   อาณาจักรหิมวานั้นมีความต่างจากป่าหิมพานต์ แม้ลักษณะจะมีป่าไม้สีทองคล้าย ๆ กัน ต่างกันที่ ที่นี่เป็นมิติมหัศจรรย์แหล่งอาศัยของมนุษย์ครึ่งเทพ เป็นผู้สืบเชื้อสายจากเทพสวรรค์ เป็นนักเวทย์กายสิทธิ์ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์มนุษย์นั่นเอง เรียกง่าย ๆ ว่า บรรพบุรุษของพวกเราชาวหิมวา เป็นเทพสวรรค์ที่มารักกับมนุษย์นั่นเอง  ซึ่งแต่เดิมในตอนนั้น จิตใจของมนุษย์ยังความบริสุทธิ์ต่อความโกรธ ความหลงใหล อยู่มากโข จึงสามารถเห็นกายทิพย์ของเหล่าเทพสวรรค์ได้ และเมื่อเราชาวหิมวาเกิดขึ้น ก็ได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ นั่นคือ ปกป้อง ดูแล คุ้มครองมนุษย์ นำพามนุษย์ทำแต่ความดี สะสมกำลังบุญเพื่อให้มีพลังระดับขั้นกายทิพย์ที่สามารถไปเกิดใหม่บนสวรรค์ เพราะเวลานี้พบว่าจำนวนประชากรบนภพสวรรค์นั้น มีน้อยลงทุกที วิมานหลาย ๆ ที่ก็รกร้างว่างเปล่า กำลังบุญของมนุษย์มีไม่มากพอแม้แต่จะเกิดใหม่เป็นชนชั้นบริวารด้วยซ้ำ สงสัยว่าเรารู้ได้ไงใช่ไหม ก็เพราะชาวเมืองหิมวาของเรากลุ่มนึง ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ในยมโลกน่ะสิ พวกเขามีหน้าที่นำพาดวงวิญญาณของมนุษย์ไปยังศาลพิพากษาต่อหน้าพระยายม เสียดายดวงวิญญาณเหล่านั้น หากนักเวทย์กายสิทธิ์มีมากพอ คงจะนำพามนุษย์ไปสู่ภพสวรรค์ได้มากขึ้น ชาวหิมวาจึงต้องเร่งฝึกพลังเวทย์ เพื่อลงไปเป็นผู้พิทักษ์กายสิทธิ์คอยชักนำมนุษย์ให้ไปสู่หนทางที่ถูกที่ควร สักที

เห้อออ! บ่นแล้วก็เหนื่อย เงินเดือนก็น้อยแม้ว่าเราชาวหิมวาจะไม่ค่อยมีเรื่องจำเป็นต้องใช้ พวกเราเหล่านักเวทย์กายสิทธิ์จะต้องดูแลมนุษย์ 1 คน ดูแลตั้งแต่พวกเขาเกิดจนตายเหมือนเทวาประจำตัว แต่หากกายสิทธิ์เป็นฝ่ายตายจากไปก่อน เราเองในฐานะเพื่อนก็อาจจะต้องรับช่วงดูแลมนุษย์ผู้นั้นต่อ คือพวกมนุษย์ดูแลตัวเองไม่ได้จริง ๆ เผลอเป็นเสร็จ ถูกอำนาจมืดยั่วยุเอาได้ง่ายๆ บ่นมากกว่านี้ไม่ได้ละ ต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ไม่เช่นนั้นอาจถูกลงโทษจากเหล่านักเวทย์สายวิทยาธรผู้คุมกฏและเป็นใหญ่ในหิมวาได้ ต้องขอตัวไปก่อนละกัน..”


 

นิยายจิตวิทยาแฟนตาซี “เพื่อนรักนักเวทย์”

ตอน กำเนิด 6 นักเวทย์แห่งหิมวา

เป็นงานเขียนจากจินตนาการโดยสถานที่และเนื้อหาส่วนนึงได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของป่าหิมพานต์และความเชื่อบางส่วนเกี่ยวกับกายสิทธิ์ที่มีการบันทึกไว้ เป็นการเขียนที่สมมติขึ้น เพื่อความบันเทิงและสาระด้านศาสตร์จิตวิทยาเข้าใจตนและผู้อื่น ไม่มีเจตนาลบหลู่ศาสนา ศรัทธาความเชื่อหรือใดๆก็ตาม

 

นิยายฉบับนี้เป็นแนวแฟนตาซี ดราม่า สืบสวนสอบสวน และความรักที่หลากหลาย รวมถึง Boy Love / Yaoi


“เมื่อเอ่ยถึงป่าหิมพานต์ หลายๆคนอาจจะนึกถึงละครจักรๆวงศ์ๆ หรือมิติของดินแดนที่มีป่าเขา แม่น้ำและสัตว์วิเศษ ซึ่งทุกอย่างล้วนแปลกตา แต่จากนี้ไป ทุกคนจะมีภาพจำใหม่ ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น

เพราะโลกใหม่ที่กำลังจะพาทุกคนไปนั้น ชื่อว่า หิมวา อาณาจักรป่าไม้สีทอง ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของเหล่านักเวทย์มนุษย์ครึ่งเทพผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพสวรรค์ มีหลากหลายวงศ์ตระกูล ทั้งจากสายวิทยาธร คนธรรพ์ ฤาษี นาค ครุฑ ยักษ์ และอีกมากมาย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรผิด ชาวเมืองหิมวาเราเป็นเพียงมนุษย์ครึ่งเทพที่ไม่ใช่ครึ่งคนครึ่งสัตว์ และไม่สามารถแปลงร่างจำแลงกายมีปีกมีหางใดๆ   และพวกเราที่นี่ต่างก็มีอาชีพ มีการมีงานทำตามความถนัดเพื่อเลี้ยงปากท้อง ส่วนใครฝึกวิชากายสิทธิ์มีพลังเวทย์ก็จะนิยมไปรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ปกปักษ์คุ้มครองมนุษย์จากปีศาจแห่งความมืด นั่นคือ อาชีพที่สูงส่งที่สุดของอาณาจักรเลยล่ะ ว่าแล้วเราไปโลกมนุษย์ดีกว่า เพราะว่าที่นั่นมีเจ้าหนุ่มน้อยหน้าใสคนนึงที่ต้องคอยดูแล ไว้เจอกันนะ” 

 


ตอนที่ 1

เทวาพิทักษ์


ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง เกิดในครอบครัวของปราชญ์ชาวบ้านที่รับรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ตามความรู้การแพทย์โบราณที่ได้รับตกทอดจากรุ่นสู่รุน  ใครๆในละแวกนี้จึงเรียกพ่อผมว่า พ่อหมอ ตัวผมชื่อ สินทราย บ้านอยู่บนดอยที่จังหวัดเชียงใหม่ และใช่ ผมเป็นคนเหนือล้านนา แต๊ๆ ที่อู้กำเมืองได้ พ่อกับแม่ของผมเล่าว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลบ้านของผมเป็นนักดนตรี มีวิชาดนตรีทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า ที่ช่วยบำบัดจิตใจผู้คน และใช้รักษาอาการคนที่มักฝันร้ายหรือนอนไม่หลับอีกด้วย ผมจึงได้มีโอกาสเรียนรู้ และเล่นเครื่องดนตรีเหล่านั้นตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยละอ่อน จนตอนนี้ฝีมือของผมนับว่าหาตัวจับได้ยากจริง ๆ  และพรสวรรค์นี้เอง มันได้เปลี่ยนชีวิตผมจากเด็กวัย 18 ปีที่แสนจะธรรมดา ให้กลายเป็นชีวิตที่น่าอัศจรรย์ใจ

 

อุแง๊ แง แง แง” เสียงเด็กน้อยทารกร้องตกใจตื่นกลางดึก คนเป็นแม่รีบลุกจากเตียง เดินมายังเปลเด็กที่อยู่ด้านข้าง คนเป็นพ่อลุกไปเปิดไฟเพื่อจะได้หาสาเหตุให้ชัด

“โอ่เอ๊ โอ่เอ๊ พ่ออุ้ยเอ้ยยย!! มาฮ้องขวัญหื้อละอ่อน สักกำ... ขวัญเอย ขวัญมา” แม่ประคองลูกน้อยไว้แนบกาย ตะโกนเรียกผู้เฒ่าที่กำลังวิ่งเข้ามาถือขันพร้อมของไหว้สาทั้งพานใส่หมากธูปเทียน ผ้าแดง ข้าวสาร เงินเหรียญบาท

อ่ออ๊อย ขวัญได้มาตกหกตกหาย ขอฮื้อเมียอยู่กับเจ้าจิ่มเน้อพ่อเด็กใช้ช้อนสีทองสวิงแกว่งไปมาตักขึ้นรอบตัวเด็กน้อยเหมือนหยิบช้อนของที่ตกหล่น นั่นก็คือ เก็บขวัญหรือสติให้เข้ากลับคืน ขณะแม่กำลังอุ้มเด็กน้อยไว้บนตัก มือซ้ายพลางลูบหัวขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเพื่อปลอบขวัญ ทั้งสามีภรรยาในบ้านไม้นั่งมองผู้เฒ่าทำพิธี

 

“สินทรายเอ้ย เอ็งฮ้องหาหยังกุกคืนเลย” พ่อเอ็ดเด็กน้อยที่หลับคาอ้อมกอดแม่

คนเป็นแม่สีหน้าเป็นกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคู่ฝากความหวังไว้กับพ่อเฒ่าที่กำลังทำพิธีแล้วสวดพูดพรึมพรำเป็นภาษาคำเมือง

พ่อเกิดแม่เกิด แม่ซื้อเหย 3 มื้อลูกผี 4 มื้อลูกคน ฮารับซื้อไว้เลี้ยงคนเดียวผู้เฒ่ามีเคราคนหนึ่งนำเงินเหรียญมาซื้อเด็ก โดยวางไว้รอบๆตัวพร้อมกับเครื่องเซ่นไหว้ จากนั้นเอาข้าวเหนียวมาปั้นแล้วจิ้มไปที่ตัวเด็กและโยนทิ้งไป 3 ครั้ง ตั้งใจรับซื้อเด็กไม่ให้ผีสางมารบกวน พร้อมขมวดปมด้ายมัดผูกข้อมือข้อเท้าสวดคาถา 

สินทรายเอ้ยยย ขวัญเอยขวัญมา อยู่กับเนื้อกับตั๋วผู้เป็นพ่อตั้งจิตมั่น เริ่มบริกรรมคาถา อัญเชิญเทวดาประจำกายมาปัดเป่าเพทภัยแก่บุตรชายของตน อักขระเรืองแสงสีเขียวนวล เสมือนเทพเทวาตอบรับคำอัญเชิญ ผู้เป็นแม่บรรจงใส่สร้อยข้อเท้าให้แก่เขา เรียกขวัญกลับคืนดังเดิม

“นะโม เทวา โอม เทวา พิทักษ์ ปกปักษ์ คุ้มเกล้า” ผู้เป็นพ่อตั้งจิตมั่น เริ่มบริกรรมคาถา เพื่ออัญเชิญองค์เทพเทวดาประจำกายมาปัดเป่าเพทภัยแก่บุตรชายของตน อักขระเรืองแสงสีเขียวนวลปรากฏที่สร้อยกำไลข้อเท้า เสมือนเทพเทวาตอบรับคำอัญเชิญ ผู้เป็นแม่บรรจงผูกข้อไม้ ข้อมือเรียกขวัญ

จากนั้นทารกน้อยก็ค่อยๆสงบนิ่ง เงียบเสียงร้องลงด้วยเครื่องรางวิเศษที่เป็นสร้อยข้อเท้าเงินลงลายอักขระโบราณ ข้างในเป็นงาช้างเผือกสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ

 

ผมคือเด็กคนนั้น ผมนอนหลับยากมาก เรียกได้ว่าเป็นโรคประจำตัวก็น่าจะพอได้ แถมกลัวผีเป็นที่หนึ่ง พอฟ้ามืดปุ๊ป ผมก็จินตนาการไปไกลมากทีเดียว สร้อยข้อเท้าของพ่อกลายเป็นเครื่องรางคู่กาย ที่ส่วนปลายมันมีกระดิ่งเม็ดเล็ก ๆ พ่อบอกว่าอันนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก

ใช่แล้ว ตั้งแต่ผมใส่เจ้านี่ ผมก็ไม่มีอาการผวาตื่นเพราะฝันร้ายอีกเลย เผลอๆ ที่ขี้เซาจนตื่นไปโรงเรียนสายก็อาจจะเป็นเพราะสร้อยข้อเท้าเงินอันนี้เป็นแน่ เรื่องนี้ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งผมอายุได้ 18 ปีบริบูรณ์ ด้วยความคิดที่ว่าเราโตแล้วและผู้ชายใครเขามาใส่สร้อยกุ๊งกิ๊งกัน แถมเป็นสร้อยข้อเท้าอีก ไปโรงเรียนสมัยเด็กอนุบาลก็ถูกเพื่อนแกล้งถอดออกตอนนอนหลับกลางวัน กว่าบรรดาครูและเพื่อนๆจะเข้าใจผมได้ ก็เล่นเอาผมโดนผีอำ ผีหลอกฝันผวาไปหลายที แม่ผมเลยให้ผมอยู่แต่ที่บ้าน ไม่ต้องไปเรียนกับเพื่อนๆ จะได้ไม่ต้องถูกแกล้งอีก แม่กับพ่อก็เลยเป็นครูสอนเองเลย สบายจะตาย นั่งๆนอนๆกินสตรอเบอรี่ที่ไร่ แล้วก็วิ่งเล่น

คืนนี้อายุครบ 18 ปีพอดี ไม่ได้ฝันร้ายมานานแล้ว คงเป็นแค่เฉพาะตอนเด็กๆละมั้งอาการผีหลอกเนี่ย เลยถอดกำไลออกสักหน่อย ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไร ก็จะได้บอกพ่อกับแม่สักที

และในคืนนั้นเอง นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ผมต้องผวาตื่นมากลางดึกเพราะเสียงร้องอันโหยหวน แสบโสตประสาทจนทำให้ผมข่มตาหลับลงไม่ได้เลย และไม่นานผมก็เหมือนคนสติไม่สมประกอบเลย เหมือนมีอะไรบางอย่างจะเข้ามาแทรกในร่างกายของผม และพยายามผลักผมให้ออกไป

ฮ่า!! ฮ่า ฮ่า!!”  “ฟ้ามืด ฟ้ามัวแล้ว ถึงเวลาของหมู่เฮา”  “เห่อ เห่อ เห่อ!!!”  

 

อีป้อ นี่มันเสียงฮ้องของสินทรายแม่นก่อ” 

แต๊อี้ผู้เป็นแม่ฉุกคิดได้ รีบดึงพ่อเข้ามาหาสินทรายในห้องนอนทันที ส่วนตัวผมตอนนี้ เอาแต่พล่ามร้องและหัวเราะแบบคนควบคุมตัวเองไม่อยู่ นี่มันคล้ายอาการของวิญญาณผีที่กำลังยึดร่าง ซึ่งผมเห็นพ่อเวลารักษาคนไข้ที่มาให้ช่วยอยู่บ่อยๆ แต่คราวนี้คนไข้กลับเป็นผมเสียเอง

 

สินทราย! สินทราย!พ่อตะโกนเรียกพร้อมเขย่าร่างกายที่นอนอยู่ของผม ผมก็พยายามร้องตอบ รู้สึกเหมือนตะโกนสุดแรงแต่ไม่มีเสียง ลืมตาก็ไม่ขึ้น ความเคว้งคว้างคืบคลานเข้ามาทำให้ค่อยๆไม่ได้ยินเสียงพ่อ ทันใดนั้นเอง ก็เหมือนมีมือเย็นๆของใครราว 3-4 คน ดึงแขนผมให้ลุกจากเตียง ตัวผมถลากระเด็นออกกระแทกพื้น

 

อีป้อ นี่บ่แม่นสินทรายแม่คุยกับพ่อ ขณะนัยน์ตาของสินทรายกำลังเบิกโพลง เส้นเลือดฝอยในตาแดงสีเข้มชัด ผมรู้ตัวทันทีว่านั่นไม่ใช่ผม ผมถูกดึงวิญญาณ! และกำลังถูกใครก็ไม่รู้สิงสู่เข้าร่างไป ผมยืนอยู่ที่ปลายเตียง กำลังมองแม่ที่กอดร่างของผม แต่ที่สิงร่างผมอยู่มันเป็นใครก็ไม่รู้ ขณะนี้เหมือนผมมี 2 ร่าง อย่างกับวิญญาณผมได้หลุดออกมา พ่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบดูที่ข้อเท้าผม 

 

สินทรายมันถอดสายขาพ่อดูหัวเสียมากที่เห็นสร้อยข้อเท้าวางถอดอยู่ แม่ก็ดูตกใจมากเช่นกัน สีหน้าทั้งสองไม่สู้ดีเลย ส่วนผมก็ยืนคอตกน้ำตาคลอๆอยู่ที่ปลายเตียง ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงก้องกังวาลคล้ายคนแก่ที่โกรธเกรี้ยวปนความสะใจ เปล่งเสียงออกมาจากร่างของผม

 

“เอๆๆ เป๋นจะไดล่ะ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ของตระกูลคีตธร” เสียงเย็นยะเยือกหลอนสติ ทำให้ผมหวนนึกถึงวัยเด็ก ตอนที่ฝันร้ายอยู่บ่อยๆ

“ฮาผ่อวันนี้มาเมินนัก” “คิงคงบ่ลืมแม่นก่อ เห้อๆๆๆ” เสียงกระหยิ่มยิ้มย่อง สื่อให้รู้ว่าเจ้าตัวคงรอมานานแล้ว พวกวิญญาณร้ายที่โกรธแค้นครอบครัวของผมที่ตั้งแต่บรรพบุรุษมาต่างใช้วิชาคนธรรพ์ขับไล่ มันคงรอเวลาให้ถึงวันนี้สักที วันที่ผมผู้เป็นทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลคีตธรได้ถอดเครื่องรางของเทพ

ดวงตาแดงก่ำหลายดวงของพวกมันมองมาที่กายละเอียดของผมซึ่งยืนอยู่อย่างกระหายเลือด แล้วมันรีบพุ่งตรงเข้าไปที่ร่างของผมซึ่งนอนอยู่ เหมือนคนหิวโหยที่ต่างพากันแย่งชิงกันเพื่อสิงร่างนั้น

พ่อของสินทรายจำผีร้ายตนนี้ได้ เมื่อสมัยที่ผมยังเด็ก ก็มันนี่แหละครับที่ทำให้ทำร้องไห้ทุกคืน

“ไอ่ภูตินรก ฮากึ๊ดว่าคิงจะสำนึก โถถถ... ยอมขายวิญญาณหื้ออ้ายปีศาจร้าย”

พ่อของผมตะคอกดัง มันคือหมอไสยเวทย์ที่รับจ้างทำคุณไสยใส่ชาวบ้านเพื่อหวังลาภสักการะ แรกเริ่มทันก็เป็นหมอเวทย์ดีๆ เหมือนกับครอบครัวผม แต่ระยะหลังมีคนเล่าว่าหมอเวทย์คนนี้ใช้เวทย์ไปในทางที่ผิด หลอกชาวบ้านเพื่อเอาเงิน เอาของมีค่า ไม่ได้มีเจตนารมณ์ของการเป็นหมอเวทย์ที่ดี คุณปู่ของผมจึงไปปราบ เหตุการณ์นั้นเองสร้างความคับแค้นใจให้กับมัน จนนำไปสู่การขายวิญญาณให้แก่ปีศาจแห่งความมืด และรอวันเวลากลับมาล้างแค้นครอบครัวผม

อีผีวอก ใค่เจ๊บตั๋วกะ ออกไป๋จากร่างลูกฮา..ขะใจ๋โวยๆ!!!เสียงตะเบงขู่ร้องของพ่อดูน่ากลัวขึ้น แล้วก็ท่องมนต์คาถา เป่าพ่นใส่กลางกระหม่อมที่ร่างกายอันขาดสติ ผีตนนั้นกระเด็นหลุดออกจากร่างของผม ซึ่งตอนนี้ดูสงบนิ่งอย่างกับคนที่ตายไปแล้ว มันกระโจนออกมาแล้วหันหน้าส่งเสียงคำรามใส่ผมทันที จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป้าหมายกระโจนใส่ผมแล้วฉุดกระชาก ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ จึงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า หากมีบุญให้รอดชีวิตกลับไป จะตั้งใจสืบทอดวิชาของพ่อปู่อย่างสุดความสามารถเลย ในขณะที่ผมกำลังยื้อฉุดกระชากหนีแรงที่จับดึงอยู่นั้น พ่อพรมน้ำมนต์ใส่ตัวร่างกายผมที่นอนอยู่ ละอองน้ำมนต์กลายเป็นเกราะสีทองหุ้มร่างของผมไว้ เสียงผีร้ายร้องด้วยความเกรี้ยวกราด ดูท่ามันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

 

แม่เตรียมสะหลุงหื้อที ป้อจะยะพิธีฮ้องขวัญแม่พยักหน้ารับคำสั่งรีบวิ่งออกไป ก่อนจะกลับเข้ามาด้วยเครื่องเขินทำขวัญ ที่มีไข่ต้ม ข้าวปั้น และกล้วย แม่ยื่นสายสิญจน์ให้พ่อ พ่อกำลังเริ่มพิธี ขณะที่พ่อกำลังอ่านโองการจากหนังสือตำรา ส่วนแม่ก็ดีดซึง 4 สาย เครื่องดนตรีประจำตัว ทันใดนั้นเองลมพัดแรงจากทั่วทุกสารทิศ หน้าต่าง บานพับ กระแทกกันปึงปัง ปึงปัง 

 ผีร้ายอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง มันหมายจะเข้าไปทำร้ายพ่อ แต่ด้วยบารมีแห่งบุญที่พ่อช่วยเหลือคนเจ็บมามาก ปรากฏเป็นเกราะกันภัยให้พ่อ ผีร้ายยิ่งอาละวาดหนักขึ้น แม่ยังคงตั้งสมาธิดีดซึงด้วยทำนองที่มั่นคง แม้ใบหน้าถูกอาบไปด้วยคราบน้ำตา ทันใดนั้นเอง เกิดแสงสว่างขึ้นนอกหน้าต่างของบ้าน

ว๊าบ!!! ผีร้ายและผมก็ต้องหยุดด้วยแสงที่เจิดจ้านั่น

เจ้าผีร้าย จงปล่อยเขาเดี๋ยวนี้” เสียงชายคนนึง ที่รอบกายมีแสงเรืองรองตลอดเวลา ใบหน้าที่หมดจดรับกับรูปร่างที่สมส่วนเหมือนเทพบุตรที่หลุดมาจากนิยาย  แสงรัศมีสีมรกตที่สว่างออกจากบริเวณกึ่งกลางกายส่องประกายจ้าขณะกำลังลอยตัวอยู่ในอากาศ ในมือของเขาถือเครื่องดนตรีเป็นพิณสีน้ำตาลทอง แสงเปล่งชัดขึ้นเพราะเขาค่อยๆลอยเข้ามา ลอดช่องหน้าต่างเข้ามาในบ้านด้วยร่างโปร่งแสง แสงเจิดจ้ากว่าเดิมแต่ผมไม่ได้รู้สึกถึงอันตราย กลับรู้สึกเย็น อิ่มเอม สบายใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่พวกผีร้ายนั่นมันกลับร้องโหยหวนไร้สติ ร่างกายมันเริ่มเปื่อยยุ่ย

“กลับสู่ยมโลกซะดีๆ อย่าให้ต้องทำร้ายกันเลย” ชายรูปงามเปล่งวาจาน่าเกรงขาม แต่สายตาดูทะเล้น

“บ่มีทางซะหรอก” ผีร้ายกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว เสียงพิณจากชายผู้เป็นดั่งเทพบุตรจึงดังขึ้น 1 ครั้ง แสงสีเขียวสาดส่องไปที่ผีร้ายที่ดิ้นทุรนทุราย แต่ไม่นานควันดำก็ปัดเป่าความเจ็บปวดให้กับมัน

“เจ้าคิดว่าข้ายอมขายวิญญาณเพื่อแลกกับอำนาจแค่นี้เรอะ” ผีร้ายร่ายคาถาคุณไสย ปรากฏตาข่ายสีดำแผ่คลุมพ่อกับแม่ของสินทรายทันที

“ดูนี่ให้จงดี!!!”  “เพล้ง!!!” เกราะแก้วของพ่อที่ป้องกันตนและครอบครัวแตกร้าว พ่อกับแม่สัมผัสได้ถึงอำนาจของคุณไสยตาข่ายสีดำที่เข้ากักขังพ่อกับแม่ เสียงอ่านโองการเริ่มแผ่ว แม่ขยับมือดีดซึงเครื่องสายไม่ได้ สีหน้าของทั้งสองเริ่มซีดเซียว ผมเริ่มหวั่นใจ มองหน้าเทพบุตรนั่นก็ยังดูนิ่งๆไม่ยอมทำอะไรสักที จนผีร้ายตะวาดใส่

“ข้าจะดูดเอาพลังวิญญาณพวกนี้มาเสริมอาคมแก่ข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของผีร้าย ผมไม่รีรอ จึงวิ่งกระโจนเข้าใส่ร่างมัน หมายจะแลกชีวิต ตายเป็นตาย “ย๊ากกกกกกกกกกก”

 “เจ้าคนสิ้นคิด” มันบีบคอผมไว้ ตาแดงกร่ำเข้าใกล้แนบชิดสยองยิ่งนัก ผมชายตามองไปยังเทพบุตรนั่น เห็นท่าทางตกใจเล็กน้อยคล้ายว่าจะเป็นห่วงในตัวผม หรือว่าผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า เพราะเขาก็ตะวาดเสียงดังขึ้นมาจนผมตกใจกลัวไปหมด ไม่สิๆ เราต้องกลัวผีที่บีบคอเราสิถึงจะถูก

“ต่อหน้าเรา เจ้ากล้าเหิมเกริมขนาดนี้เชียวรึ” เทพบุตรชี้หน้า ตะเบงเสียงดัง

“ปะ ปะ เปล่า นะ ผมแค่จะช่วยพ่อกับแม่เท่านั้นเอง” ผมพยายามเอามือดึงมือของวิญญาณผีร้ายที่บีบคออยู่แล้วเปล่งเสียงแหบๆอธิบาย แต่ดูท่าทีเขาจะหัวเสียหน่อยๆแล้วพูดกลับผมว่า

“ไม่ใช่เจ้า ข้าตะโกนบอกผีที่บังอาจทำตัวอวดดีต่างหาก หลบไป”

เทพบุตรชี้หน้า ใส่ผีร้าย มันแสยะยิ้มให้อย่างเลือดเย็น จากนั้นเสียงพิณดังก้องกังวาล บีบโสตประสาทของผีร้าย แสงสว่างวาบเกิดขึ้น คล้ายกับคลื่นเสียงที่สาดไปยังผีร้ายตรงหน้า ผมรีบกระโจนตัวหนีออก

“เจ้าบังคับเราเองนะ” เทพบุตรดีดพิณไม่ยั้ง เสียงเพลงที่แรกดูราบเรียบ ตอนนี้จังหวะเริ่มวกวน ก่อกวน ยั่วยุกระแสจิตที่ไม่สงบ วิญญาณผีร้ายเหมือนกำลังถูกทำลาย มันร้องโหยหวนดิ้นทุรนทุราย

“นี่มันเพลงอะไร ทำไมถึงร้ายกาจเยี่ยงนี้” พวกผีร้ายดิ้นลงที่พื้น ของเหลวสีดำเมือกค่อยไหลออกตามรูทวารทั้ง 7 ทางปากและจมูกเละเทะไม่น่าดูเลยจริงๆ

“ข้าจะบอกเจ้า ให้เอาบุญนี่คือ หนึ่งในบทเพลงพิฆาตแห่งคนธรรพ์” 

“พิณคลั่ง สลายวิญญาณ” 

เสียงพิณรัวและเร็วขึ้น จังหวะถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถจับสังเกตการเคลื่อนไหวของนิ้วมือที่ดีดพิณนี้ได้เลย แสงสว่างสุดท้ายจากปลายนิ้วที่ดีดปัดแสงสีเขียวกระแทกเข้าที่ร่างผีร้าย สลายเป็นเถ้าธุลี สินทรายมองด้วยความทึ่ง และตื่นตะลึง ตาข่ายสีดำที่กักขังพ่อแม่ไว้ได้จางหายไป ก่อนที่ทั้ง 2 จะค่อยๆรวบรวมสติลุกขึ้นมาที่ร่างกายซึ่งนอนแน่นิ่งของผม ดูท่าจะมองไม่เห็นกายละเอียดของผมที่ยืนอยู่หน้าเทพบุตรนี่สินะ

“ทะ ท่าน เป็นใคร” ผมรวบรวมความกล้าถามเทพบุตรชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันตรงหน้า

“ข้าคือ เทวาพิทักษ์ ของเจ้า” “เจ้าสัญญาแล้วนะว่าจะตั้งใจสืบทอดวิชาของพ่อปู่อย่างสุดความสามารถ” พี่ชายคนนั้นหันมาพูดกับผม

“คะ..คะ..ครับ” ผมรับคำด้วยความรู้สึกที่ตื่นตะลึงปนกับความกลัว

“แล้วเราค่อยพบกันใหม่” “ตึ๊ง!!!!!” เทพบุตรตรงหน้าดีดสายพิณ 1 ครั้ง กายละเอียดผมก็เด้งกลับเข้าร่าง เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ปกติ พ่อทำพิธีเสร็จสิ้นเช่นกัน ผมค่อยๆขยับมือ และลืมตาตื่นขึ้นมา พ่อกับแม่รีบโผกอดผมแน่น

เป๋นจะได๋พ่องลูก แม่กะป้อใจ๋คอบ่าดีเลย ขวัญเอ้ยขวัญมา 

แม่เข้ามากอดผมแล้วหอมแก้มไป 1 ฟอด นอกจากรอยจูบรอยหอมของแม่ ผมก็ยังไม่เคยไปทำแบบนี้กับใครเลย ดูเป็นคนอ่อนต่อโลกมากใช่ไหมล่ะ 

แม่กล่าวไป พร้อมกับลูบหัว และหอมที่หัวผมเบาๆ เหมือนทุกทีที่ผมหวาดกลัว ผมก้มมองที่ข้อมือทั้งสองข้าง ซึ่งตอนนี้ถูกผูกเรียกขวัญไว้เต็มไปหมด และเครื่องรางที่ยังคงต้องใส่ติดตัวตลอดเวลา นั่นคือ สร้อยข้อเท้าเงินโบราณ

 

 

ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมถูกพ่อบังคับให้นั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตใจให้สงบนิ่งมากยิ่งขึ้น เพราะพ่อกลัวว่าวันนึงที่ผมไม่มีเครื่องราง อย่างน้อยจิตที่สงบ มั่นคง จะช่วยให้ผมไม่สูญเสียขวัญหรือจิตวิญญาณให้กับภูติผีร้ายอีก ผมจึงต้องฝึกจิตอย่างเคร่งครัด

การนั่งสมาธินี่เอง ทำให้ผมได้เจอกับเทพบุตรที่เขาบอกว่า เขาเป็นเทวาพิทักษ์ของผมนั่นเอง เขาชื่อ นรุตม์ ผมพินิจพิจารณาด้วยความงุนงงสงสัย เอาจริงๆ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับ  เทวาพิทักษ์สักเท่าไหร่

 

ในช่วงค่ำของวันถัดมา

ผมยังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน และหน้าที่ของผมที่ลั่นวาจาไว้ ต่อจากนี้ที่ว่า ต้องรักษาคำพูดด้วยการสืบทอดวิชาคนธรรพ์ของพ่อปู่ แต่มันต้องเริ่มยังไงนะ ...ยังจับทางไม่ถูก...นรุมต์ นายอยู่ที่ไหนนะ 

ทันใดนั้นมีเสียงนึงแทรกพูดบอกคำตอบให้ผมขณะนั่งคิดเงียบๆ แต่มันไม่ใช่เสียงของผม เพราะเสียงนั่นดังอยู่ข้างเตียงนอน

เห้ยยยยย!!!!

ผมตกใจร้องลั่น เพราะเมื่อผมหันไปที่ด้านข้างเตียง ก็พบเห็นรูปร่างชายคนนึงผิวสีขาวอมเหลืองมีประกายสีทองที่เมื่อวานนี้เพิ่งมาช่วยผมเอง เขาเป็นผู้พิทักษ์ ชื่อ นรุตม์ ปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกครั้งในชุดเสื้อผ้าแปลกตาที่เขาสวมใส่ มีสังวาลย์เม็ดสีเขียวลักษณะทรงกลมเป็นดวงแก้วพาดที่กลางหน้าอก ชุดโจงกระเบนสีน้ำตาลลายสีทอง กำลังมองผมและยิ้ม

 

“เราเป็นนักเวทย์กายสิทธิ์จากดินแดนที่แสนไกล”  “อาณาจักรหิมวา ดินแดนที่มีป่าไม้สีทอง” นรุตม์อธิบายพร้อมยื่นใบไม้ขนาดฝ่ามือที่มีสีทองอร่ามมาให้ผม ผมมองหน้านรุตม์เล็กน้อย ยังไม่กล้ารับมาในทันที นรุตม์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผมจึงรับมา ผิวสัมผัสของใบไม้สีทองอร่ามนั้นสากมือเล็กน้อย เหมือนจับกระดาษทราย เหมือนนรุตม์จะรู้ว่าผมคิดอะไร

“ดินแดนที่ว่านี่ อยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้หรอ พี่ชาย” ผมเองก็ชักสงสัย ไม่แน่ใจว่าผมนั่งสมาธิแล้วเผลอหลับจนฝัน หรือเหตุการณ์ตรงหน้านี่คือเรื่องจริง

“อาณาจักรหิมวา ดินแดนที่อยู่ตรงรอยต่อของโลกมนุษย์และสวรรค์” นรุตม์พูดด้วยความทระนงองอาจ

“นี่คือความจริง ข้าเป็นเทวาพิทักษ์ของเจ้า”  “จะคอยปกป้องเจ้า ที่จริงข้าก็อยู่กับเจ้าตลอดมาตั้งแต่เจ้าเกิดแล้ว แต่ตอนนี้ที่เจ้าเห็นข้า ก็เพราะเจ้าเพิ่งผ่านวินาทีแห่งความตายมา แต่....” นรุตม์ยิ้มอย่างจริงใจ รอยยิ้มอันเป็นมิตรมันทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลได้มากขึ้น จนกระทั่งได้ยินคำว่า แต่....

“แต่... อะไร” ผมซักอย่างกังวล

“แต่ ต่อไปนี้ เจ้าจะไม่ใช่เพียงเห็นข้าได้เท่านั้น พวกวิญญาณผีร้าย เจ้าก็จะเห็นด้วย” นรุตม์ชี้นิ้วไปรอบๆ

ทันใดนั้นผมก็เห็นบรรดาร่างเงาดำๆ เดินโซเซบ้าง นั่งก้มหน้าบ้างอยู่นอกบ้าน สรุปคือผมจะต้องมองเห็นผีได้แม้ว่าผมจะใส่สร้อยข้อเท้าแล้วงั้นหรอ ผมหันไปหานรุตม์ซึ่งก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ตอนนี้

“.......” ความเงียบคืบคลานเข้ามา เหมือนว่าในห้องนอนของผม มีอะไรบางอย่าง

.

.

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น จนผมตกใจร้องลั่นบ้าน

พ่อเปิดประตูเข้ามาหาผม! ผมถอนหายใจไปเฮือกนึง แล้วถาม

ป้อมีอะหยังก่อครับผมขยับตัว มือก็จับผ้าห่มมาคลุมขาทั้งสองข้าง พ่อรู้พฤติกรรมผมดี ว่าผมกำลังปิดบังอะไรอยู่ แต่พ่อก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม แต่ผมมีเรื่องสงสัยจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่ผีร้ายคุกคามครอบครัวของผมจนอดใจถามพ่อไม่ได้

“เอ่อออ ป้อครับ ผมไค่ฮู้ว่า เพราะอะหยัง ผีร้ายตัวเมื่อวานถึงขายวิญญาณหื้อปีศาจ”


พ่อทำหน้านิ่งแล้วเข้ามานั่งใกล้ๆผม แล้วค่อยๆตอบ

“สินทราย ลูกฟังป้อหื้อดีเน้อ คนเฮาหนา หากบ่แม่นคนแต้ บ่เก่งจริง ก็คงบ่ละทิ้งวิชาที่ปู่ย่าตาทวดเปิ้นสอนสั่งมาหรอกลูก แต่ผีตนนั้นมันยอมขายวิญญาณตั๋วเก่า ก็ไค่ที่อยากจะมีอำนาจ มีพลังเหนือกุกคน แต่จำไว้หื้อดี ว่าบนโลกนี้ ความดีชนะกุกอย่างได้ วิชาบรรเลงที่บ้านเฮาใช้รักษาผู้คน สืบทอดมาจากเทพคนธรรพ์บนสวรรค์เลยหนา สมัยตี้ป้อยังละอ่อนนัก ป้อเห็นป้ออุ้ยแม่อุ้ยเปิ้นใช้วิชาคนธรรพ์ดีดซึง ดีดพิณปราบผีจนเสี้ยง ซึงเครื่องสายที่ลูกใช้อยู่นี้ ก็ตกทอดมาจากรุ่นป้ออุ้ยเปิ้นเลย จะอั้นก็ฮักษาวิชาบรรเลงนี้หื้อดีนะ”

พ่อเล่าให้ผมฟังอย่างอบอุ่นใจว่า ผีร้ายเมื่อวานที่เห็นขายวิญญาณให้ปีศาจเพราะอยากจะมีพลังอำนาจมาก แต่ก็กลับพ่ายแพ้ให้กับปู่กับย่าในสมัยพ่อยังเป็นเด็ก เพราะสู้วิชาคนธรรพ์ของบ้านเราไม่ไหว พ่อจึงชี้ให้ผมเห็นว่าซึงเครื่องสายที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ก็ตกทอดมาอีกที ฟังดูแล้วภูมิใจจัง แม้ว่าผมจะเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เรื่องดนตรีนี่ ขอเป็นหนึ่งเรื่องที่เอาไว้เสริมความมั่นใจแล้วกัน ว่าอย่างน้อยก็มีดีกับเขาบ้าง

ค่ำนักแล้ว หื้อฟั่งเข้านอนโวยๆพ่อลุกขึ้นแล้วตบที่บ่าของผมเบาๆก่อนจะค่อยๆเดินไปทางประตู

อ้อ ระวังสายขาหื้อดี อย่าหื้อหลุดอีก แล้วก็อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนโตยเน้อพ่อสั่งกำชับเรื่องให้ดูแลใส่สร้อยข้อเท้าก่อนเดินออกไป

__________________________________________________________________________________________________________________________

**** อ่านจบแล้ว เป็นยังไงกันบ้าง ...ช่วยคอมเม้นต์แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจนักเขียนได้ที่ช่องข้อความข้างล่างนะครับ

https://www.facebook.com/TheHIMVA


แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น