(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 4 "ลางสังหรณ์" | บทความ

บทความ


(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 4 "ลางสังหรณ์"

Blog Single

ลางสังหรณ์

 

        ช่วงดึกอากาศบนดอยจะเย็นกว่าในตัวเมืองมาก หมอก น้ำค้างแข่งกันลงจัด อากาศแบบนี้เหมาะสำหรับการนอนฝันดีเหลือเกิน ยิ่งนอนใต้ผ้าห่มอันหนานุ่ม ฟูกที่นิ่มกำลังดีแบบนี้ ช่างน่าขดตัวแล้วหลับให้ลึกจริงๆ

“สินทราย สินทราย”  “ตื่นได้แล้ว” ผมกำลังหลับฝันดีเลย ไม่รู้ใครมาเรียก แต่เสียงนั่นก็ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

“ตื่นได้แล้ว เจ้ามนุษย์ขี้เซาเอ๋ย” นรุตม์นั่นเอง 

“อูยยยยย หนาวววววว” ผมนี่นอนขด หลับตาไม่ยอมตื่น ส่วนมือรึ ก็คลำหาผ้าห่ม เอาอีกละนรุตม์แกล้งปลุกผมด้วยวิธีนี้อีกละ ดึงผ้าห่มผมออกอีกตามเคย

“ไหนเจ้าสัญญาจะสืบทอดเจตนารมณ์บรรพบุรุษ วิชาปู่ทวดของเจ้าคือวิชาหลับไม่ตื่นรึไง” นรุตม์ยิ้มกวน

“ท่านไม่ใช่บรรพบุรุษผมสักหน่อย” ผมพลั้งเผลอต่อปากต่อคำ นรุตม์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“เก่งกล้ามากละนะ....ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” ทันใดนั้นเอง ผมสัมผัสได้ถึงแรงกระชากวิญญาณเลย

กายละเอียดผมเด้งออกจากร่างมาอย่างงงๆ ต้องถอดสร้อยข้อเท้าก่อนไม่ใช่หรอ ถึงถอดจิตออกมาได้

โอ้ ม่าย เมื่อเย็นกลับมาถึงก็นอนเลย ลืมใส่สะนี่ นรุตม์แกล้งมองผมด้วยสายตาเขียวปั๊ด

“ตื่นแล้วครับ” ผมเสียงอ่อยในทันที พอเห็นว่านรุตม์ไม่ได้ดุจริงจังก็ขอต่อคำอีกสักนิด

“ห่มผ้าคืนให้ผมด้วยได้ป่าว”

“กลัวไม่สบาย เดี๋ยวเช้าไปเก็บสตรอเบอรี่กับพ่อไม่ไหว” พูดเสร็จปุ๊ป ผมนี่รีบก้มหน้ามองต่ำเลย นรุตม์นี่เข้มงวดกับผมจริงๆ รึว่าเขาจะเป็นบรรพบุรุษของผมกันนะ

“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ไปช่วยข้าก่อน วันนี้เป็นวันปล่อยผี”  “มีคนฝันร้ายจากภูตราตรี มันมากันเยอะเลย”

“เหอๆ ถ้าเป็นคนอื่นที่ชอบบู๊ เขาคงดีใจที่ได้ยินแบบนี้ แต่ผม....เห้อ...บ่นไปก็เท่านั้น ไปก็ไป”

คืนนี้ช่างยาวนานเสียจริง วันนี้นรุตม์พาผมไปช่วยคนที่ฝันร้ายจากภูตราตรีถึง 7 คนด้วยกัน ทำไมคืนคืนนึง ถึงได้มีคนฝันร้ายเยอะขนาดนี้ แล้วผมจะช่วยหมดหรอเนี่ย นรุตม์พากายละเอียดของผมกลับมาส่งที่บ้าน เขาเองก็เริ่มดูอิดโรยเหมือนกัน แต่ไม่ทันจะถึงบ้านดี อยู่ๆ นรุตม์ก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้น” ผมไม่แน่ใจ ท่าทีของนรุตม์แปลกไป

“มีคนกำลังถูกคุกคามจากภูตราตรี” ไม่ทันได้ตั้งตัวดี นรุตม์ก็พาผมเหาะทะลุอากาศ และมาปรากฏกายยังสถานที่ที่น่าจะเป็นวัดมากกว่าบ้านพักอาศัย

“ห้ะ นี่มันในวัดเลยนะ ภูตราตรีกล้ามากจริงๆ”  ผมถึงขึ้นวิจารณ์สักหน่อย แต่พอเหลือบมองที่นรุตม์ก็ต้องเงียบปากให้ไว เพราะเขาดูเหนื่อยแต่ใจนี่สู้ยิบตา ทำไมเขาต้องมาดูแลมนุษย์ที่ถูกละเลยพวกนี้ด้วยนะ

อากาศที่นี่เย็นยะเยือก แม้กายละเอียดจะสัมผัสลมอากาศไม่ได้ แต่ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานเย็นผิดปกติได้

“มันกล้า เพราะเทวาพิทักษ์ที่คุ้มครองที่นี่กำลังอ่อนกำลัง พลังเย็นพวกนี้ แปลว่ามันอยู่กันจำนวนมาก”

 นรุตม์เสียงเข้ม แววตาของเขาดูดุดันอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาเริ่มสังหรณ์ใจมากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้พิทักษ์ในหิมวา ถึงไม่ยอมมาทำหน้าที่

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หมดเวลาของพวกเจ้าแล้ว นักเวทย์หน้าโง่” ภูตราตรีจำนวนหนึ่งหัวเราะร่า เสียงดังมาจากพื้นที่สลัวไกลๆ กำลังรุมทำร้ายนักเวทย์กายสิทธิ์ที่คุ้มครองที่นี่ ท่ามกลางมนุษย์ นักบวช ที่หลับใหลอ่อนแรง

“ส่งดวงจิตของคนที่นี่มาให้ข้าซะดีๆ” 

“ดวงจิตของผู้ทรงศีล ยิ่งทำให้พวกเราเป็นอมตะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ภูตราตรีประกาศกร้าวอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป หิริโอตัปปะได้จืดจางไปจากใจแล้ว

 

“ตึ๊ง!” เสียงพิณของนรุตม์สายแรกกระแทกเข้าที่ภูตราตรีแสนโอหัง กระเด็นออกไปคนละทิศทาง

“ตึ๊ง!” เสียงพิณสายที่สองตัดโซ่ที่ล่ามนักเวทย์ที่เสียที บทเพลงพิณพิฆาตแห่งคนธรรพ์ถูกถ่ายทอดดั่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ท่ามกลางพายุที่พัดโหมรุนแรง

“สินทราย ฝากดูแลนักเวทย์ตนนั้นที” นรุตม์หันมาสั่งการ ผมรีบทำตามอย่างรวดเร็ว นรุตม์ร่ายเวทย์กำบัง เพื่อกำบังผมกับนักเวทย์ผู้นั้นที่อ่อนแรง ก่อนจะพุ่งทะยานใส่บรรดาภูตราตรี

ร่างกายนักเวทย์ผู้พิทักษ์คนนี้ไม่เหมือนกับนรุตม์เลย เป็นสีแดงระเรื่อ ใบหน้าก็ดูดุดัน ดวงตากลมโต นัยน์ตาแข็งกร้าว สวมอาภรณ์สีแดงเพลิง ระยิบด้วยรัศมีแสงสีแดงเปล่งประกายทั่วร่าง  แต่ทว่าความอิดโรยที่เกิดจากการต่อกรเมื่อสักครู่ก็ทำให้ไม่สามารถยืนหยัดกายได้เอง ผมสัมผัสได้ถึงความโกรธของนักเวทย์ผู้นี้ได้

 

“มันเกิดอะไรหรือครับ” ผมรวบรวมความกล้า ถามนักเวทย์ตรงหน้า “มันกำลังจะพรากดวงจิตของมนุษย์ที่อารามแห่งนี้ไป” “พอดีข้าผ่านมาแค่คนเดียว พวกมันมีมากกว่า ทำให้ข้าเสียที”  “มันน่าเจ็บใจนัก”

“ท่านนรุตม์เป็นเทวาพิทักษ์ของเจ้ารึ” นักเวทย์หันมาถามผม ผมก็พยักหน้าตอบกลับไป สายตาของผมจับจ้องการปะทะอิทธิฤทธิ์กันระหว่างภูตราตรีกับท่านนรุตม์ ลำแสงสีเขียวสว่างไสวเป็นจังหวะตามเสียงดนตรี สาดแสงสลับกับเสียงทุบตีของพิณยามกระทบกับวิญญาณร้าย ทั้งดีดทั้งตีช่างหนักหน่วง

“ภูตราตรีที่นี่มีมากเกินไป ขนาดข้าจัดการมันไปตั้งหลายตัวแล้ว มันยังไม่อ่อนกำลังลงเลย”

ทันใดนั้นเองพบนักเวทย์อีกสองตนปรากฏกายพร้อมกับแสงสว่างสีน้ำเงินจ้า กำลังเคลื่อนตัวลอยมา             

ชายหนุ่มใบหน้างดงามมองไกลๆราวกับเทพบุตร สวมอาภรณ์สีน้ำเงินกรมท่ามีผ้าโพกหัว แต่งกายต่างไปอีกแบบ

“ส๊วบบบ!!” ลำแสงสีขาวคล้ายดาบตัดเข้าที่ลำตัวของเงาดำพวกภูตราตรี นักเวทย์ชุดสีน้ำเงินที่มาใหม่เข้าตะลุมบอนช่วยนรุตม์ในระยะประชิด เขาเหมือนใช้ดาบที่มีลักษณะเป็นลำแสงยาวถนัดมือโรมรันฟันบรรดาภูตร้าย กำลังฤทธิ์ของภูตค่อยๆอ่อนแรงลง และทุกอย่างก็สงบบลงเมื่อเสียงพิณดังขึ้น

“ตึ๊ง!” พิณคลั่งวิญญาณยังคงเอาชนะภูตราตรีได้เสมอ นรุตม์จัดการภูตราตรีจนสูญสลายไป นรุตม์ตรงเข้ามาหาพวกเรา แล้วสลายมนต์กำบังนั้น แล้วหันกลับไปทำความเคารพนักเวทย์ทั้งสองที่เข้ามาช่วย

“คารวะ ท่านนรุตม์” นักเวทย์ 2 ท่านชุดสีน้ำเงินพนมมือไหว้ท่านนรุตม์อย่างนอบน้อม

“คารวะ นักเวทย์ผู้พิทักษ์คนอื่นในที่แห่งนี้ไปไหนกันหมด” นรุตม์รับไหว้แล้วรีบถามกลับในทันที

“เวลานี้ ที่หิมวาเพิ่งเสร็จสงครามใหญ่ พวกนักเวทย์สายยักษ์ทั้งหมดถูกหมายจับ สภานักเวทย์มีค่าหัวให้ตามกลับไปยังเมืองหิมวา เพราะท่านสีหราช ผู้นำนครสิงขรกระทำผิดร้ายแรง”

นักเวทย์ชุดสีน้ำเงินกำลังตอบแต่ไม่ทันพูดจบ นักเวทย์ชุดสีแดงเพลิงก็พรวดพราดวิ่งหนีทั้งที่ยังคงอิดโรย ทำให้นักเวทย์ชุดสีน้ำเงินทั้ง 2 คนดูสีหน้าไม่พอใจ แล้วชี้หน้าเขาทันควัน

“นั่น!! นักเวทย์สายยักษ์ จับกุมมัน” นักเวทย์ชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งลั่นคำสั่งเสียงดัง

นรุตม์มองด้วยความสงสัย เพราะนักเวทย์ชุดสีน้ำเงินทั้งสองเดินตรงเข้าไปจับกุมนักเวทย์ชุดสีแดงนั้นทันที

“พวกท่านจะทำอะไร” นรุตม์เข้าขวางนักเวทย์ผู้มาใหม่ทั้งสอง หนึ่งในนั้นตอบเสียงเรียบ

“พวกเราทำตามคำสั่ง ขอท่านจงอย่าขัดขวาง” นรุตม์พยายามจะขัดขืน นักเวทย์ในอาภรณ์สีน้ำเงินสะบัดผ้าคลุมผลักท่านนรุตม์ออกไป พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร

“ท่านจะขัดคำสั่งประกาศจับนักเวทย์สายยักษ์ ที่สภานักเวทย์ตั้งค่าหัวรึ” แม้เสียงนั่นจะดูน่าเกรงขามทำเอาสินทรายสะดุ้งโหยงแอบหลบอยู่หลังต้นไม้ นรุตม์ก็ยังคงยืนขวางอย่างเด็ดเดี่ยว

“ท่านนรุตม์ได้โปรดถอยไปเถิด ข้าเองไม่ได้ทำอะไรผิด พวกนักเวทย์วิทยาธรอยากบ้าอำนาจจับข้า ก็เชิญ”

นักเวทย์ชุดสีแดงเป็นนักเวทย์สายยักษ์ลุกขึ้นยืน พบว่าร่างกายใหญ่โตกว่านักเวทย์ชุดสีน้ำเงินจากสายวิทยาธรสองคนนั้นมาก จริงๆดูแล้วสามารถต่อต้านได้ไม่ยากเย็น พละกำลังอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

นรุตม์หันหน้ามามองผม ผมจึงรีบคว้าเครื่องสายคู่ใจขึ้นมาบรรเลงดีดซึง เพราะนรุตม์เคยบอกว่า หากว่างเมื่อไหร่ ให้ซ้อม อย่าอู้ ผมก็หยิบซึงมาเล่นทันที

“นั่นใคร ไม่รู้กาลเทศะรึอย่างไร มาดีดเพลงตามใจตนเช่นนี้ ขัดจังหวะคนเขาคุยกัน ไร้ระเบียบ”

นักเวทย์สายวิทยาธรดูท่าทางไม่พอใจหันหน้ามาทางผม นักเวทย์สายยักษ์หันกลับมาแล้วก้มหัวให้ผม สงสัยจะชอบเพลงที่ผมดีดแน่ๆ ส่วนนรุตม์เองก็เผลอยิ้มกว้างดูท่าทีถูกใจ แล้วตอบกลับไปท่าทีทะเล้นยียวน

“แหมๆๆ เป็นคนธรรพ์ ก็ต้องเคียงคู่กับการบรรเลง เจ้านั่นเป็นศิษย์น้องของข้า ข้าก็ให้ฝึกวิชาดีดเครื่องสายยามว่าง ผิดตรงไหน เอาอย่างนี้ ข้าไม่ขัดขวางพวกท่านก็ได้ เชิญ” นรุตม์ผายมือเปิดทางให้ทั้งสองเข้าจับกุมนักเวทย์ชุดสีแดงแต่โดยดี

นักเวทย์ชุดสีแดงเดินเข้ามาหานรุตม์ พนมมือขึ้นไหว้

“คารวะท่านนรุตม์ บุตรชายเจ้านครเพลินไพรแห่งคนธรรพ์ ข้าชื่อ โกเมน ขอบพระคุณท่านมาก ต่อแต่นี้ข้าขอฝากท่านดูแลมนุษย์คนนึงด้วย บัดนี้ข้าคงคอยดูแลเขาไม่ได้แล้ว” นักเวทย์สายยักษ์ชุดสีแดงนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก นรุตม์พยักหน้ารับคำ

จังหวะที่เดินผ่านหน้านรุตม์อย่างช้าๆ จนไปยืนต่อหน้านักเวทย์ผู้รับบัญชาให้มาจับกุมตน เขายื่นมือออกไปให้จับแต่โดยดี ขณะที่นักเวทย์ชุดน้ำเงินจากสายวิทยาธรมองหน้ากันกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ นักเวทย์สายยักษ์ก็ออกแรงผลักด้วยพลังฝ่ามือลมปราณอย่างจัง จนนักเวทย์ทั้งสองกระเด็นไปไกล

โกเมน นักเวทย์มากกำลังหันหน้ามายิ้มให้ผม แล้วพูดว่า

“ข้าฝากดูแลเด็กหนุ่มชื่อ บดินทร์ด้วย รับปากสิ!!! รับปาก!!!

“ได้ๆๆ ผมรับปากครับ” คือรับปากเพราะตกใจในน้ำเสียงที่ดุดันของโกเมน แต่ทว่า บดินทร์คือใครกัน

โกเมนพยักหน้าแล้วเหินตัวแหวกอากาศหายลับตาไป ผมเองที่กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แต่ตั้งคำถาม ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเมืองหิมวา และนักเวทย์สายยักษ์กันแน่ แต่คงเป็นอะไรที่สำคัญกับพวกนักเวทย์สายวิทยาธรมากเลยสินะ ถึงรีบพากันไล่ตามจับอย่างเร่งรีบเหมือนกับนักเวทย์สองท่านนี้ที่พยายามไล่ตามโกเมนไป จนทิ้งให้ผมยืนมองหน้ากับนรุตม์แล้วก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

 

“ฮ่าๆๆๆ สะใจจริงเชียว” นรุตม์หัวเราะถูกใจ แล้วหันกลับมาตบไหล่ของผม “ทำดีมาก สินทราย”

“เอ่ออ เมื่อกี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ผมเกาหัวแกรกๆ งงๆ ก็งงจริงๆว่าทำอะไรไปหรอ

“ก็เมื่อครู่ ที่เจ้าบรรเลงเพลงเยียวยาช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตให้โกเมนอย่างใดเล่า ทำดีมาก ฮ่าๆๆๆ”

“ห๊า แหะๆ เมื่อกี้ผมก็แค่ฝึกเล่นบทเพลงตามที่ท่านบอกให้หมั่นฝึกซ้อมน่ะ แต่พอดีนึกเพลงอะไรไม่ออก เลยเล่นเพลงนี้” ผมตอบนรุตม์ไปอย่างหน้าตาซื่อๆ แล้วชำเลืองมองหน้านรุตม์ดูจะผิดหวังเล็กๆที่ชมผมสะเก้อไป

“......”

“..... เฮ้อออ ง่าวจั๊ดหนัก” นรุตม์ส่ายหัวให้กับผม แล้วว่าผมโง่อีกแล้ว สรุปผมทำได้ดีหรือทำอะไรผิดไปเนี่ย

นรุตม์พาผมกลับมายังที่บ้าน คืนนี้มีเรื่องให้สะสางมากมาย เจอเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ และได้เจอนักเวทย์ต่างสายอีก ช่างเป็นอะไรที่เกินคาดสำหรับมนุษย์อย่างผม แต่วันนี้ก็เหน็ดเหนื่อยจริงๆแหละ โดยเฉพาะนรุตม์ท่าทางของเขาชัดเจนมาก

“วันนี้ท่านดูเหนื่อยกว่าวันก่อนๆ นะ” ผมก็ถามตามประสา เพราะว่าช่วงนี้มีคนฝันร้ายมากกว่าแต่ก่อน

“ช่วงนี้บ้านเมืองข้าเกิดเรื่อง นักเวทย์สายยักษ์ที่ทำหน้าเทวาพิทักษ์บนโลก ทั้งหมดถูกเรียกตัวกลับไป”

“แปลกตรงที่วิชาเนตรนิมิตรของข้ากลับใช้ไม่ได้”  “ข้าไม่อาจรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” นรุตม์ถอนหายใจ

“ท่านกลับไปเมืองท่านได้หรือไม่” ผมยังคงอยากรู้เรื่องราวอีกสักหน่อย นรุตม์ส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ประตูเมืองคงถูกปิด ตอนนี้ชาวเมืองที่อยู่ภายนอกไม่สามารถกลับเข้าไปข้างในได้นอกจากทหารนักเวทย์สายวิทยาธรที่รับบัญชาให้ตามล่านักเวทย์สายยักษ์ เสมือนไม่อยากให้ชาวเมืองข้างนอกรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายใน หากลางสังหรณ์ของของเขาไม่ผิด น่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงมากๆกับบรรดานักเวทย์สายยักษ์ที่เมืองหิมวาเป็นแน่ เรื่องราวเหล่านี้ละเอียดและลึกซึ้งเกินว่าที่สินทรายจะเข้าใจ นรุตม์จึงเลือกที่จะไม่เล่าให้สินทรายฟัง นรุตม์ถอนหายใจอีกครั้ง เขาหันหน้า และจ้องมองสินทรายด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง

 

“ข้ากลับไม่ได้ ข้าต้องทำหน้าที่แทนพวกเขา และก็ขอให้เจ้ามาช่วยข้านี่แหละ” นรุตม์ถอนหายใจอีกครั้ง ผมสังเกตถึงอาการอ่อนล้า และความหดหู่ใจจากสายตาของนรุตม์ที่ทอดมองออกไปที่หน้าต่าง

“เพราะแบบนี้ ท่านจึงต้องรับผิดชอบเรื่องฝันร้ายของมนุษย์ที่หนักขึ้นใช่มั้ย”นรุตม์พยักหน้าเบาๆ

“ท่านคงคิดถึงเมืองของท่านสินะ” ผมพูดด้วยความเป็นห่วงและเหมือนจะรู้ใจเขาอยู่บ้าง นรุตม์ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเล็กน้อย สายตาก็ยังคงทอดยาวออกไป ไกลแค่ไหนผมก็ไม่อาจจะรับรู้ อาจจะไกลถึงเมืองหิมวาก็เป็นได้

“วันนี้เจ้าเล่นบทเพลงของคนธรรพ์ได้ดีขึ้นมาก” “สมาธิ ท่วงทำนองที่มั่นคงและหนักหน่วง เจ้าทำมันได้ดี” นรุตม์วางมือบนบ่าของสินทรายด้วยความเชื่อมั่น ใช่ผมรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น น้ำหนักบนมือของนรุตม์ทำให้ผมรับรู้ได้อีกอย่างคือ ความหนักใจที่ไม่รู้ว่าอนาคตต้องพบเจอกับเรื่องอะไรอีก และเขาก็ได้ฝากฝังหน้าที่นั้นไว้กับผมเช่นกัน

“วันนึงเจ้าจะต้องมีพลังกายสิทธิ์เต็มตัว”  “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้านะ สินทราย” แววตาของนรุตม์เชื่อมั่นในตัวของผมมากจริงๆ มากจนผมอยากเก่งกาจให้เท่าที่นรุตม์คาดหวังโดยเร็ว

“แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะเป็นกายสิทธิ์เต็มตัวหรอ” ผมถามนรุตม์ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่

“เจ้าต้องเพียรฝึกเวทย์สายคนธรรพ์นี้ ให้เป็นเวทย์บริสุทธิ์ ซึ่งตอนนี้เจ้าก็พัฒนาขึ้นมากแล้ว”  “แต่จงเพียรฝึกฝนต่อไป เมื่อใดที่เจ้าค้นพบดวงแก้วกายสิทธิ์ประจำกายได้ นั่นหมายความว่าเจ้าจะได้เวทย์กายสิทธิ์แล้วเช่นกัน” นรุตม์ตอบคำถามของผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“และเมื่อเจ้าไม่ละซึ่งความเพียร ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องอีก จนเก่งกาจมากๆ เจ้าก็จักได้พลังกายทิพย์”

นรุตม์เอนกายพิงกับกำแพง วันนี้ดูเขาจะเหนื่อยมากจริงๆ จนผมไม่อยากจะรบกวนไปมากกว่านี้ ทั้งๆที่ผมเองก็รู้สึกว่านรุตม์กำลังปิดบังเรื่องอะไรบางอย่าง เรื่องที่หนักหนาเกินกว่าจะให้ผมรับรู้ ร่างที่อาบแสงสีเขียวเรืองรองค่อยๆ จางไป ตามเคยนรุตม์ได้หายวับไป ส่วนผมก็กลับเข้าร่างตัวเองที่หลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่คุ้นเคย ความคิดสุดท้ายของผม ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง

นั่นคือ “ผมต้องสืบทอดวิชาคนธรรพ์ให้ดีที่สุด ต้องไม่ทำให้นรุตม์ผิดหวังเด็ดขาด” แต่เดี๋ยวก่อน

“....บดินทร์ เด็กหนุ่มชื่อว่าบดินทร์ ที่โกเมนฝากไว้ เราจะหาเขาเจอได้ยังไงล่ะ...นรุตม์!? หายไปซะแล้ว”

ZZZzzzz...”

 

ช่วงเย็น ในเขตเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร

“ฮัลโหล ผมถึงกรุงเทพมาหลายแล้วครับพี่ พี่หายไปไหนมา ติดต่อไม่ได้เลย”

“อ๋อ...ตอนนี้ก็กำลังจะ.....เอ่อ...กำลังจะหารถเข้าที่พักครับ”

“อ่อ...พอมีใช้ครับ ผมอยู่ได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่เองก็เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“สวัสดีครับ”

บทสนทนาระหว่างเด็กหนุ่มกับพี่ชายที่เป็นเสมือนผู้ปกครองคนเดียวที่ปลายสายนั้นอยู่ไกลกัน

เขาหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วรีบเดินจ้ำไปตามถนนตรอกซอยแคบ ที่ยังไม่คุ้นเคย เขาเพิ่งย้ายเข้ามาในกรุงเทพไม่นานนัก หลังจากสมัครงานเป็นเด็กเสิร์ฟและคนเฝ้าร้านอาหารแห่งหนึ่งได้ ค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับเด็กอายุ 18 ปีถึงจะไม่มากพอ แต่การหยอดกระปุกเก็บเล็กผสมน้อยก็ทำให้เขาไม่ต้องรบกวนใคร

ชีวิตของคนทำงานกลางคืน แม้พี่ชายที่ปลายสายคนที่เพิ่งวางหูเมื่อกี้จะทำงานต่างจังหวัดมีเงินไว้ให้เขาใช้จ่าย แต่เขาก็แอบโกหกบบ่อยครั้ง เหมือนกับวันนี้ ที่เขาโกหกพี่ว่ากำลังจะกลับหอพัก แต่ที่จริงเขาไม่ได้นำเงินที่ได้ไปเช่าห้องพักอะไรเลย เพราะกลับเลือกเก็บเงินไว้แล้วมาสมัครงานทำที่ร้านอาหารกลางคืน พอตกดึกร้านปิดก็รับงานเสริมนอนเฝ้าร้านต่อเลย

          “อ้าว บดินทร์ วันนี้ไปไหนมาแต่เช้าล่ะ เนี่ยเย็นแล้ว ร้านใกล้จะเปิดแล้วนะ รีบเลย” เจ้าของร้านอาหาร รูปร่างท้วมสมบูรณ์เปล่งเสียงทักทายเด็กหนุ่ม เจื้อยแจ้วอย่างเป็นกันเอง

          “โทษทีครับเจ๊ พอดีวันนี้ผมไปทำเรื่องทุนการศึกษามาน่ะครับ ครูโรงเรียนเก่าที่ขอนแก่นรู้จักกับผู้ใหญ่ใจดีอะไรประมาณนี้น่ะครับ ผมไปเตรียมเปิดร้านล่ะ”

เด็กหนุ่มตรงเข้าไปที่หลังร้านเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดบริกร และทำหน้าที่ของเขาในทันที บดินทร์เป็นเด็กสู้ชีวิตมาก เติบโตมาโดยที่ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นใคร มีเพียงพี่ชายคนเดียวที่ดูแลมาโดยตลอด แถมไม่ใช่พี่ชายที่แท้จริงด้วย แต่ก็เอาเถอะ เขาโตมาอย่างดีจนจบ ม.6 แถมดั้นด้นเข้ากรุงมาหางานทำ ช่างเป็นเด็กดีเสียนี่กระไร

“เห้ย นั่นไง พวกมึง กูหามันเจอแล้ว” เสียงโครมครามดังขึ้นหน้าร้าน พวกนักเลงหัวไม้ไล่ล่าตามมาบดินทร์มาถึงร้าน จนเจ๊เจ้าของร้านรีบไปตั้งรับ

“เดี๋ยวๆๆๆ ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่ม”

“อีเจ๊!!! เงียบปากไป นั่นลูกน้องเจ๊ใช่ไหม เมื่อคืนแฟนผมมาเที่ยวคลับที่ร้านนี้แหละ มันลงรูปคู่แล้วโพสต์บอกว่า ชู้รักคนใหม่ หน้าตาแมร่งก็ดี หาแฟนเองไม่เป็นหรือไงว่ะ มายุ่งกับแฟนคนอื่นอย่างนี้ วอนสะแล้ว!!

“ใช่ๆเจ๊ แถมเมื่อวานแฟนเพื่อนผมไม่ได้กลับบ้านด้วย เจ๊ถามลูกน้องเจ๊ก่อนเถอะว่ารู้เรื่องรึเปล่า”

เพื่อนพวกนักเลงสมทบ กดดันมาที่เจ้าของร้าน แบบนี้ใส่ร้ายกันเห็นๆ กะจะให้ตกงานเลยรึไง

“จริงหรือเปล่าบดินทร์ เมื่อคืนนายนอนเฝ้าร้าน มี...เอ่อ ..ได้พาใครมาค้างด้วยไหม”

เจ้าของร้านหันไปถามบดินทร์ย้ำอีกที แต่บดินทร์ยังไม่ตอบอะไร

 

เรื่องของเรื่องก็คือ เจ้าใบหน้าของหนุ่มผิวเข้ม คมสัน ตาโต ที่มีเจ้าของชื่อบดินทร์คนนี้แหละเป็นเหตุ เมื่อคืนมีสาววัยมหาลัยมาเที่ยวที่ร้าน บ่นๆเพ้อๆว่าแฟนไม่สนใจ เลยอยากปั่นประสาทแฟนตัวเองด้วยการเอาบดินทร์เป็นเหยื่อผู้น่าสงสาร ซวยไหมล่ะ คราวนี้

บดินทร์หัวเสีย เดินออกมาจากหลังร้านทันที ชี้หน้าใส่พวกนักเลงอย่างไม่กลัวเกรง

“ใจเย็นดิ พูดหมาๆ ใครไปยุ่งกับเมียพี่ ผมอยู่ของผมดีๆ เมียพี่นั่นแหละมาขอถ่ายรูปเอง”

“แล้วเมื่อคืน ผมก็อยู่เนี่ย นอนตรงเนี่ยคนเดียว ไม่เชื่อก็ไปดูกล้องวงจรปิดของร้านดิ”

บดินทร์ของขึ้น ยิ่งเป็นคนโมโหง่ายอยู่ด้วย เกิดมาไม่ต้องแคร์อะไรมากมาย หาเช้ากินค่ำ ไม่ยอมให้ใครมาด่าเอาฟรีๆ พอเจอหมาหมู่รุมแบบนี้เข้า ก็คงต้องมีเรื่องกันหน่อย

“อ้าวๆ บอกว่าไม่ได้ยุ่งก็พอมั้ย มาบอกใครพูดหมาๆ มึงว่ากูปากหมาหรอห๊ะ!

“เออ ถ้าไม่แน่จริง พวกมึงรีบออกไปไกลๆเลย เกะกะร้าน” บดินทร์ถลกแขนเสื้อขึ้น สะบัดคอคลายเส้น มองตาเขม็ง เอาจริงๆแค่รูปร่างของบดินทร์ แม้ตัวไม่สูงมากแต่ก็ล่ำ กล้ามใหญ่ หมัดหนักล้มพวกนี้ได้สบาย แต่ว่ามันมากัน 4 คน

“ผัวะ!!!” เสียงต่อยลั่นกะโหลก กระทบโสตประสาทดังลั่น หมัดของบดินทร์ประทับอยู่บนหน้า พวกนักเลงที่มาหาเรื่องที่พุ่งเข้ามาคนแรกหมายใจจะเป็นคนเปิดแล้วจะให้เพื่อนรุมกระทืบตาม

“ตุ๊บ!!” “โครมมม!!!” เสียงโต๊ะเก้าอี้ในร้านล้ม เพราะบดินทร์ถีบเพื่อนพวกนักเลงอีกคนล้มครืน

บดินทร์กระดิกนิ้วเรียก 2-3 ที ท่าทางกวนโอ๊ยสุดๆ แล้วยักคิ้วไป 1 ที “มาเดะ มา”

“มึงมา!!” “ส๊วบบ!!” เสียงหมัดลั่นกระบานพวกมันไปอีก 1 ครั้ง หมัดหนักชนิดว่าอย่าได้คิดจะนั่งนับดาวเลย เพราะอีกหมัดกำลังจะลอยไปเสยปลายคาง

“หยุดนะ บดินทร์”   “พวกแกออกไปจากร้านชั้น ไม่งั้นชั้นจะเรียกตำรวจข้อหาบุกรุก”

พวกแก๊งนักเลงหวงแฟนปากเก่ง รีบวิ่งเผ่นหนีไป ส่วนบดินทร์ก็เดินไปเก็บโต๊ะเก้าอี้ที่ล้ม แล้วเดินมาหาเจ๊เจ้าของร้านอย่างนิ่งๆ

“เจ๊ ของที่เสียหาย เจ๊คิดเงินค่าเสียหายแล้วหักจากค่าจ้างผมได้เลย ผมขอโทษเจ๊ด้วย”

บดินทร์พูดนิ่งๆ แล้วยกมือไหว้ที่ตนเองเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทำเอาเจ๊ก็ไม่กล้าจะว่าอะไร บดินทร์ก็กลับไปทำงานต่อจนร้านปิดตามเคย

เด็กหนุ่มกำลังกุลีกุจอเก็บจาน เช็ดโต๊ะที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษอาหาร และเกลื่อนกลาดไปด้วยขวดสุรา เขาก้มดูที่นาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว

“กลับบ้านนอนได้แล้ว บดินทร์”  “เดี๋ยวที่เหลือเจ๊ให้คนอื่นจัดการเอง”

“ครับเจ๊” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ ก่อนจะวางผ้าเช็ดโต๊ะบนเคาท์เตอร์บาร์ และก้มลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายหลัง ก่อนกลับเขาต้องไปรับเงินค่าจ้างจากพี่ที่การเงิน วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ ลูกค้าเยอะพอสมควรเลยแบ่งทิปกันได้มากหน่อย

“อ่ะ นี่จ้า ส่วนของบดินทร์”  “วันนี้ได้ทิปมาเยอะ ได้ตั้ง 550 แหนะ”  “เก็บเงินดีๆ ล่ะ”

พี่เจ้าหน้าที่การเงินกล่าวอย่างใจดี บดินทร์เด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วง แต่ก็คงไม่หนักไปกว่านี้ถ้าวันนี้ไม่มีเรื่องวุ่นๆขึ้น

“นี่บดินทร์ เจ๊ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ อย่าหาว่าเจ๊อย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ คือมีบดินทร์มาอยู่เฝ้าร้าน เจ๊ก็ดีใจ แหมทั้งหมัดทั้งมวย คงไม่มีโจรหน้าไหนกล้าเข้ามาหรอก แต่เจ๊ว่า บดินทร์ไปหาหอพักเช่าอยู่ดีๆเถอะนะ จะได้มีห้องส่วนตัว อีกอย่าง เจ๊กลัวพวกนักเลงนั่นมันกลับมาหาบดินทร์ยามดึกยามดื่นน่ะสิ”

เป็นไงล่ะ เลือดร้อนจนได้เรื่อง ทำเอาเงินร้อนกระเป๋า ขาดรายได้งานเสริมนอนเป็นยามเฝ้าร้านเลย แถมต้องไปเสียเงินเช่าหอพักในกรุงเทพอีก อย่างถูกๆก็หลายพันต่อเดือนเลย ไหนจะค่ามัดจำ บลาๆๆ

บดินทร์ยิ้มรับ “ได้ครับเจ๊ ผมเข้าใจ เอาไว้ผมไปหารับจ้างอย่างอื่นเพิ่มด้วย วันหยุดมี”

เขาไม่อยากเป็นภาระของใคร เพราะในเมืองหลวงนั้นค่าครองชีพสูงมาก พรุ่งนี้คงต้องลองไปหาหอพักอยู่แถวๆนี้ เอาแบบไม่ห่างจากร้านอาหารมากนัก จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถแท็กซี่เพราะงานที่ร้านอาหารเลิกดึก ยามวิกาลแบบนี้ไม่มีรถเมล์สาธารณะวิ่งแล้ว

 

“เฮ้อ!!” บดินทร์ถอนหายใจ พลิกตัวไปมาในห้องมืดๆเล็กๆภายในร้านอาหาร ที่คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้นอนที่นี่ เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง แต่ความมืดก็ไม่อาจข่มให้เขาหลับตาลงได้ นี่ไม่ใช่คืนแรกที่เขานอนไม่หลับ หากแต่เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว และเมื่อใดที่เขาหลับ เขาต้องได้ยินเสียงแปลกๆ รบกวนจิตใจจนต้องสะดุ้งตื่นอยู่บ่อยครั้ง สายตาของบดินทร์มองเหม่อไปบนเพดาน แววตาครุ่นคิดถึงเสียงที่เขาได้ยิน เขาเหลือบไปมองนาฬิกาเข็มสั้นชี้ที่เลขสี่พอดิบพอดี ตีสี่แล้วก็ยังนอนไม่หลับ บดินทร์ลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าที่เขาวางไว้บนโต๊ะ

“กุกกัก กุกกัก” บดินทร์กำลังหาอะไรบางอย่าง เขาหยิบขวดแก้วที่ข้างในใส่ของเหลวสีน้ำตาลทอง มีกระดาษโน๊ตเล็กๆ แปะเอาไว้

ถ้านอนไม่หลับ ก็ลองสักกรึ้บ!’  คำแนะนำจากรุ่นพี่บริกร เพื่อการนอนหลับฝันดี

บดินทร์หมุนปากขวดและเทกรอกลงคอ รสสัมผัสที่ทั้งขมและเฝื่อนบาดลิ้น ช่วงที่ของเหลวไหลผ่านลำคอช่างร้อนผ่าว รสชาติการดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกของบดินทร์ช่างบาดคอเขายิ่งนัก อึกที่สอง ที่สามตามลงไปความขมและเฝื่อนเริ่มทิ้งสัมผัสของความหวานไว้ที่ปลายลิ้น บดินทร์ไม่เคยดื่มมาก่อน แต่ด้วยความอยากลองดู เผื่อจะช่วยให้เขาหลับง่ายขึ้น จึงไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง แอลกอฮอล์ที่ติดก้นขวดมา แม้ว่าจะเป็นปริมาณที่น้อย แต่ก็ชนะน๊อคคนคออ่อนอย่างบดินทร์ได้ภายในไม่กี่หมัด บดินทร์หน้าแดงก่ำ คอแดงเป็นรอยเปื้อน อาการร้อนผ่าวเกิดขึ้นทั่วใบหน้าและลำคอ จนเขาเองก็ทนไม่ไหว เดินเกาะกำแพงเข้าไปล้างหน้า ล้างตา หวังให้ความเย็นของน้ำจะดับพิษร้อนของสุราได้บ้าง

“พลัก!” น้ำชะโลมยังไม่ทันเย็นดี บดินทร์ก็ลงไปกองกับพื้น สติของเขากำลังล่องลอย ลอยไปที่ไหนสักแห่ง หนังตาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้ง กล้ามเนื้อคอ หลัง ไม่สามารถค้ำยันต้านต่อแรงดึงดูดของโลกได้ บดินทร์พยายามใช้แขนยันร่างของตัวเองไว้

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ” เสียงหัวเราะที่แหลมเล็ก ค่อยๆ ลอยเข้ามาในโสตประสาทที่ว่างเปล่าของบดินทร์ สติที่เริ่มเลือนราง แต่เขาก็พอจะจำได้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงที่มารบกวนเขาทุกคืน

“เสียง นี้ อีก แล้ว” บดินทร์ส่ายหัวไปมา พยายามจะให้เสียงหัวเราะหลอนๆนี้หายไป แต่กลับกัน มันกลับดังขึ้น ดังขึ้น

“เหนื่อยรึยัง ฮิฮิฮิฮิ”

“วันที่เจ้าต้องยอมจำนนในโชคชะตาที่อาภัพ”

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ” เสียงหัวเราะของมันดังขึ้นเรื่อยๆ มันหัวเราะอย่างมีชัย เสียงหัวเราะของมันบีบแก้วหูของบดินทร์มาก เขาเอามือทั้งสองปิดหูเอาไว้

“แกเป็น ผี หรอ”  “แกต้องการอะไร” บดินทร์ถามอย่างไม่เกรงกลัวเช่นเคย

“ชีวิตเจ้า”  “พลังชีวิตของเจ้า จะเติมเต็มพลังวิญญาณให้แก่ข้า ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ”

“ไม่มีทาง” บดินทร์ตะโกนใส่สิ่งที่ไม่มีตัวตน เขาพยายามยันตัวเองลุกขึ้นยืน แต่มันก็หนักเกินกว่ากำลังที่มีจะต้านทานไหว เขาพยายามใช้แขน และขายันตัวขึ้นมาอยู่หลายครั้ง

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ”  “ไม่มีทางสำเร็จหรอกน่า เจ้ามนุษย์หน้าโง่”

“เจ้ายอมรับมาเถอะ ว่าเจ้ามันสู้ใครเค้าก็ไม่ได้ เรียนเก่งได้ทุน แล้วยังไง เงินก็ไม่พอใช้อยู่ดี” เสียงเย้ยหยันบั่นทอนจิตใจของบดินทร์

“เกิดมาเป็นเด็กกำพร้า ยากจน ไร้อำนาจ วาสนา ต้องดิ้นรน”  “มันเหนื่อยใช่มั้ยล่ะ” 

สิ้นเสียงของผีร้าย ร่างของบดินทร์ก็ทรุดลงไปกับพื้น หัวของเขาถูกกดแนบลงไป เขาพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงได้ บดินทร์เหลือบมองเงาในกระจก เขาเห็นร่างของผีผมยาวเปียกปอน ใส่ชุดคลุมสีแดงเพลิงเปื้อนเลือดเปื้อนโคลน ยืนเหยียบหลัง และเหยียบหัวของเขาอยู่

“ชีวิตคนจนมันเศร้า ขายชีวิตเจ้าให้ข้า แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยเงินทองมากมาย” 

ผีร้ายกำลังบรรจงดูดพลังวิญญาณของบดินทร์

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ” เสียงผีร้ายหัวเราะชอบใจ บดินทร์พยายามดิ้นรน ใบหน้าของเขาเริ่มซีด ริมฝีปากเริ่มเปลี่ยนสี เขานึกถึงพี่ชายที่เขาคุ้นเคย ที่คอยปกป้องเขาเสมอ รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีสะบัดผีร้ายออกจากตัว

“ตึ๊ง” เสียงพิณถูกดีด ก่อให้เกิดเป็นลำแสงสีเขียวฟาดเข้าที่ตัวผีร้าย บดินทร์ดีดตัวลุกขึ้นอย่างแรง ทำให้เขาเสียหลักเซไปชนกำแพงห้องน้ำอย่างจัง แต่แปลก บดินทร์กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังไว้ แรงกระแทกที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เขาปวด แต่กลับอุ่นเป็นพิเศษ หรืออาจจะกำลังกึ่มๆ สติที่มีก็เหลือเพียงน้อยนิด

“เจ้าใช้กายละเอียดได้ดีขึ้นแล้วนะ สินทราย” นรุตม์เห็นเหตุการณ์ที่สินทรายเอากายละเอียดเป็นตัวกั้นกันแรงกระแทกให้กับบดินทร์

“ดูแลเขาด้วยล่ะ”  “ทางนี้ข้าจัดการเอง” นรุตม์ดีดพิณอีกสองสามสาย ลำแสงสีเขียวทะลุร่างของผีร้ายนั่นจนกลายเป็นท่อนๆ จนร่างร่องแร่ง ที่แท้ก็ผีลูกสมุนของปีศาจ มาตามหาคนเข้าลัทธิเลี้ยงผีสิท่า

วันนี้นรุตม์น่าจะรับบทหนักเป็นพิเศษ พาสินทรายออกมาช่วยคน และคนคนนี้ก็อยู่ไกลจากบ้านผมมากๆ วันนี้ผมเองก็ได้ใช้พิณคนธรรพ์ช่วยเหลือนรุตม์ได้มากขึ้น และครั้งนี้ก็เช่นกัน บดินทร์ยืนพิงกำแพงได้ไม่นาน เขาก็ทรุดลงไปกองที่พื้นอีก เมื่อสักครู่เขาคงใช้แรงดิ้นเพื่อให้หลุดจากผีร้ายจนทำให้กำลังของเขาเหลือน้อยเต็มทีแน่เลย

“ท่านนรุตม์ทำยังไงดี แบบนี้พลังวิญญาณถูกดูดกลืนออกไปจะหมดแล้วใช่ไหม ตัวอ่อนไม่ได้สติแบบนี้” ผมร้องถามอย่างทันที เพราะสีหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ซีดขาวมาก ม่านตาดำก็ขยายเต็มที่

“ฮ่าๆๆๆ ผีร้ายเมื่อกี้ยังไม่ทันทำอะไรเลย เจ้าเด็กนี่มันเมา ดูนั่น เหล้าหมดไป 1 ขวดใหญ่” นรุตม์หัวเราะ แล้วชี้ให้สินทรายดู ทำเอาสินทรายตกอกตกใจหมดเลย

 

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ”  “พวกเจ้ามันหน้าโง่ ของเด็กเล่นแค่นี้ ไม่คอระนามือข้าหรอก”

เสียงผีร้ายกลับดังขึ้นอีกครั้ง แม้ร่างของมันจะถูกฟาดขาดเป็นท่อนๆ แต่ไม่นานร่างของมันก็กลับมาประสานกันใหม่อีกครั้ง

“พิณเจ้า ไม่ได้ผลหรอก เจ้านรุตม์” ผีร้ายตนนั้นรู้จักนรุตม์! ไม่ใช่แค่นรุตม์ที่ตกใจ แต่สินทรายเองก็ตกใจ ผีร้ายนั่นเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักนรุตม์ได้

“สร้างเกราะกำบังไว้สินทราย ทางนี้ข้าจะจัดการเอง” นรุตม์หันมา เขารู้ว่าดีว่าผมกำลังคิดอะไร

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ”  “นรุตม์หนอ เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปซะแล้ว” ทันใดนั้นเองไฟนิลได้พัดโหมกระหน่ำ                     นรุตม์พยายามกระโดดหลบเปลวไฟออกจากห้องน้ำ จากนั้นใช้สายพิณตรึงกระตุกมัดผีร้ายให้ตามออกมา และเขาก็ได้สังเกตเห็นเขี้ยวยักษ์จากผีร้ายตนนั้น นรุตม์รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ภูตราตรีทั่วไป แต่กลับกันผีร้ายตรงหน้าคือ อดีตนักเวทย์สายยักษ์นั่นเอง ที่ตอนนี้กลายเป็นนักเวทย์ปีศาจเสียแล้ว

“เจ้าขายดวงจิตแก่ปีศาจรึ”

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฉลาดแล้วนี่ แต่เจ้าก็ยังเป็นนักเวทย์ที่โง่งมงายอยู่ดี”

“น่าเวทนายิ่งนัก” นรุตม์ได้แต่ส่ายหัว ในความตกต่ำของเพื่อนร่วมวงศ์วาน

“บังอาจ!!!” นักเวทย์ปีศาจบันดาลโทสะ เพลิงไฟนิลลุกโชติแผดเผาทุกสิ่งอย่าง จนนรุตม์เองก็เกือบเสียที

“เจ้าก็รู้ว่าที่เมืองหิมวาเกิดเรื่อง นักเวทย์สายยักษ์ถูกพวกวิทยาธรจับตัวไป ต่อหน้าข้ามันถูกจับกุม แต่แท้จริงแล้วมันถูกทหารวิทยาธรฆ่าตาย! เพียงเพราะเจ้านั่นดันต่อต้าน!

“เจ้าโกหก!!!” นรุตม์ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ทหารของเหล่าวิทยาธรไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้

“เจ้ามันหน้าโง่ ถูกเขาหลอกใช้ ชาวยักษ์อย่างข้า มีหรือจะรอด ทางเดียวที่ทำได้ คือยอมเป็นสมุนปีศาจ ใช้ไสยเวทย์รวบรวมพละกำลัง เพื่อกลับไปล้างแค้น ทวงคืนความยุติธรรมให้กับพวกพ้องของข้า!” นรุตม์ได้แต่ยืนอึ้ง ไม่ทันได้ระวังตัว ถูกไฟนิลโถมเข้าที่กลางลำตัว

“ตึ้ง!ตึ้ง!ตึ้ง!ตึ้ง!ตึ้ง!” เสียงซึงดีดเพลงคลั่งสลายวิญญาณดังขึ้นอย่างรวดเร็ว จังหวะในการสะบัดปลายนิ้วเร็วขึ้นกว่าเดิม ลำแสงสีเขียวจากเครื่องสายของสินทรายฟาดฟันใส่ร่างของนักเวทย์ปีศาจแบบไม่ยั้ง

ใช่ ผมเป็นคนใช้บทเพลงนี้เอง ผมไม่ยอมให้ผีร้ายตนนั้นมาทำร้ายนรุตม์ได้เป็นอันขาด

“สินทราย!” นรุตม์ร้องเรียกชื่อ แต่บาดแผลจากไฟนิลทำเขาบาดเจ็บไม่น้อย

ผมทนไม่ได้จริงๆ บทเพลงคลั่งสลายวิญญาณถูกบรรเลงอย่างโกลาหล ปรวนแปรขึ้นลง ดั่งทะเลเดือด ลำแสงสีเขียวฟาดฟันอย่างถาโถมซ้ำแล้วซ้ำเล่า นรุตม์หยิบพิณขึ้นร่วมบรรเลงอีกแรง จนร่างของผีร้ายแหลกละเอียดและกำลังจะสูญสลายไปในที่สุด ด้วยจิตของผมที่ปั่นป่วนก็ทำเอาผมบอบช้ำไม่น้อย ผมสัมผัสได้ถึงอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก เลือดกำเดาค่อยๆ ไหลออกมา ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง

“สินทราย!!” นรุตม์วิ่งมาหาผมด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าเก่งขึ้นมากนะสินทราย ไม่กลัวผีแล้วสินะ” “เอ้อ..แล้วเด็กคนนั้น ดีขึ้นรึยัง”

นรุตม์ถามถึงคนที่ชื่อบดินทร์ ซึ่งนอนอยู่ในห้องน้ำข้างๆ ผมจึงได้โอกาสถามชี้ชัดให้ชัวร์ๆ

“เอ่อ ท่านนรุตม์ เด็กหนุ่มนี่หรอ ที่ชื่อ บดินทร์ คนที่โกเมนให้ผมรับปากว่า ให้คอยดูแล”

นรุตม์ได้แต่พยักหน้า “....ข้าเสียพลังไปพอสมควร พาเจ้ากลับบ้านตอนนี้...ยังไม่ไหว ขอไปฟื้นพลังก่อน”

กล่าวจบร่างกายสิทธิ์ของนรุตม์ก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวหายไป บัดนี้เหลือเพียงบดินทร์และผม

 

    บดินทร์ที่นอนคุดคู้ไม่ได้สติ “ร้อนเว้ยยย ร้อนจังว๊ะ!!” บดินทร์สบถเพ้อเบาๆ

ตอนนี้เขาคงหมดสติเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผมรีบมาดูทันที กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีก เจ้านี่มันคงร้อนเพราะดื่มเข้าไปเยอะ ไม่ก็คออ่อนมากแน่ๆ ผมพยายามใช้ฤทธิ์กายละเอียดอีกครั้ง ผมใช้พลังเปิดฝักบัว

    “ซู่วววววววว์” น้ำจากฝักบัวไหลโชกลงที่หน้าของบดินทร์เต็มๆ ก็ผมมือใหม่หัดใช้อิทธิฤทธิ์ ยังคุมแรงไม่ถูก เปิดเบอร์แรงสุด ขณะที่ผมกำลังรนรานในการปิดฝักบัว เสียงไอสำลักน้ำก็ยิ่งทำให้ผมรนรานมากขึ้นไปอีก

    “โอยจะดูแลได้มั้ยเนี่ย” 

    “กึก!” ในที่สุดผมก็ปิดน้ำฝักบัวได้เสียที เล่นเอาเหนื่อยน่าดู ผมเหลือบไปมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

ป่านนี้จะสำลักน้ำจนหัวใจหยุดเต้นไปแล้วรึเปล่าเนี่ยยยย ด้วยความเร่งรีบกลัวทำคนตายจนลืมตัว

ผมจึงเอาหูไปแนบฟังเสียงหัวใจของบดินทร์อย่างไม่รีรอ รู้ตัวอีกทีก็ “เอ้า!! ลืมไป”

ผมอยู่ในร่างกายละเอียด มันสัมผัสกายหยาบของเขาไม่ได้ ผมเลยหัวขมำทิ่ม “ปิ้วววว”

ฟังเก้อเลยเรา แต่ก็นะ ผมไม่ได้ลดละความพยายามหรอก ลุกขึ้นตั้งท่าได้ใหม่ ก้มมองจังหวะการกระเพื่อมของหน้าอกเอาก็ได้ว่ะ เอาล่ะ หายใจเข้า หายใจออก หน้าอกแผงนั่นมันยังมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้างมั้ยน๊า

“ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ” นั่นมันหน้าอกคนหรือว่าปอดบวมล่ะนั่น กระเพื่อมนูนขึ้นลงเด่นชัดจนเสื้อยืดสีขาวที่สภาพเสื้อเปียกน้ำมันแนบร่างของชายหุ่นนักกีฬา ทำให้เห็นกล้ามเนื้อชัดมาก

ผมจ้องอยู่สักพัก ให้แน่ใจว่าหัวใจเต้นปกติ ผมเอียงคอซ้ายขวา อืมมม “อยากมีหุ่นแบบนี้บ้างจังเลยเรา”

“ดูดิ พอมองตัวเองก็เศร้า ถ้ามีหุ่นแบบนี้นะ ใครมาแกล้งจะอัดเข้าให้จมดินเลย” ผมก้มมองสารรูปตัวเอง

“ว่าแต่ จะปอดบวมมั้ยเนี่ย จะตายรึเปล่า” ผมก็สังเกตไปบ่นไป เพราะตัวของเขาเปียกโชกด้วยน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น แถมเจ้าตัวก็เปียกโชก ทั้งเส้นผมก็มีละอองน้ำหยด

“โอย เมื่อไหร่ท่านนรุตม์จะมาสักที”  “หวังว่าเจ้านี่จะไม่ปอดบวมจริงๆนะ” ผมก็ได้แต่บ่นรอ

“ทำไงดี ทำไงดี นั่นมันกล้ามอก ไม่ใช่ปอดบวมหรอกหน่า ...เออ แต่ถ้าเป็นปอดบวมขึ้นมาล่ะ โอ้ยย ทำไงดี ทำไงดี”

“ร่ายมนต์อะไรดีนะ ที่ให้ความอบอุ่น” ผมเสกตำราโบราณของผู้พิทักษ์ที่นรุตม์ให้ไว้

“ฟวิ๊งงง!!” ลองมนต์นี้ละกัน

“โอม วาโย กสิณัง พลังวาโย” ลมพัดเบาๆเหมือนมีพัดลมเบอร์ 1 ไม่แรงมาก คงพอจะทำให้ตัวแห้งได้

นั่งเฝ้าคนตรงหน้าที่ไปไหนไม่ได้ จ้องนานพอๆกับคอยแกว่งนิ้วเรียกลม

พอผมใช้นิ้วทั้งสองเป่าลมพลังวาโย ก็มีลมออกจากปลายนิ้วมือไม่ขาดสาย พอปัดไปที่ส่วนหัว เส้นผมของบดินทร์ก็ปลิวไสว อดขำไม่ได้ เหมือนคนกำลังเล่นมิวสิควีดีโออกหักเลย

“ฮ่าๆๆ ประชดรัก นอนในห้องน้ำใต้ฝักบัว โอ้ยย ขำ ฮ่าๆๆๆ”

พอใช้นิ้วปัดสายลมแกว่งไปที่บริเวณแขน ก็ทำให้เจ้าตัวที่นอนสลบ ขนแขนลุกชูชันขึ้น

พอใช้นิ้วปัดลม แกว่งไปที่เสื้อผ้า ปัดขึ้นเพื่อเป่าผม ปัดลงไปกางเกง แวะพัดลงตรงส่วนหน้าอก มันก็ทำให้ “เอ่อ โอ้ะ!!! มันนูนขึ้น เห้ยยย ฮ่าๆๆๆ”

นี่เราบ้าไปสะแล้ว คงไม่ต้องบอกนะว่าอะไรนูน ก็อวัยวะบางส่วนบนตัวของบดินทร์ ลุกชูชันขึ้นมาทันที

พอแกว่งนิ้วเล่นลมไปสักพัก

.

.

“ห๊าววว ง่วงก็ง่วง ในร่างกายละเอียดนี่ ง่วงได้ด้วยหรอ หรือว่าความขี้เซามันติดที่นิสัยกันเนี่ย ขอเอนหลังพิงผนังรอก็ละกัน”

ว่าแล้วผมก็ลงนอนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ใช้นิ้วแกว่งให้ลมพัดไปตามเสื้อผ้าของบดินทร์ต่อเพื่อเป่าให้แห้งไวขึ้น

แต่อย่างว่าคนเมาอะนะ นอนเฉยๆ ได้ที่ไหน หมอนั่นมาพลิกตัวคว่ำมาทะลุกายละเอียดผมเฉย 

“เห้ย!” ผมอุทานด้วยความตกใจ เพราะหน้าเราแทบจะชนกัน ปลายจมูกผมอยู่ห่างจากเจ้านั่นไม่กี่นิ้ว

ลมหายใจอุ่นๆ เคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์ ทำผมขนลุกเกรียว ผมรู้สึกได้ว่าหน้า และใบหูของผมร้อนผ่าว พอตั้งสติได้ก็รีบเขยิบตัวออกมาทันที นิ้วของผมกวัดแกว่งแรงขึ้น ความตกใจทำให้เกิดลมแรงพัดยิ่งกว่าระดับพัดลมเบอร์ 10 มันพัดจนเกิดพายุย่อมๆในห้องน้ำจนข้าวของหล่นตกหมด

“ทำอะไรน่ะสินทราย” “ทำไมเขาถึงเปียกปอนเช่นนี้”  เสียงนรุตม์ดังขึ้น ผมตกใจ

ส่วนผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเก้อๆ แทน ไม่นานท่านนรุตม์ก็จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย นรุตม์โบกมือให้ร่างของบดินทร์ด้วยพลังความร้อนอุ่นๆ เสื้อผ้านั้นก็แห้งในไม่ช้า

“กลับกันได้แล้วล่ะ” นรุตม์หันมาบอกผม แต่เขาคงเห็นสายตาที่ผมมองเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมนั้นอย่างห่วงใย

“เราจะปล่อยให้เขานอนสลบอยู่ในห้องน้ำสภาพแบบนี้หรอครับ แล้วพวกภูตผีจะไม่มา...” 

กลับ!...ได้!...แล้ว! ...อย่าได้ห่วงไปเลย ดูนั่น” นรุตม์ชี้ไปที่ข้อมือของบดินทร์ นั่นมันลูกประคำเงินลงอาคม ซึ่งคล้ายของขลังที่ผมมีใส่ไว้เลย แต่ต่างที่ผมใส่ไว้ที่ข้อเท้าเท่านั้นเอง

“ผู้พิทักษ์ได้ให้เครื่องรางปกป้องเขาไว้แล้ว” ผมยิ้มรับด้วยหัวใจที่พองโตอย่างแปลกประหลาด ผมไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้เจอหมอนี่อีก แต่หวังไว้ว่า ขอให้เขาปลอดภัยจากพวกผีร้าย ในยามที่ผู้พิทักษ์ประจำกายของเขาไม่อยู่ในตอนนี้ สาธุ!!!

 _______________________________________________________________________________________


"อ่านจบตอนนี้แล้ว เป็นยังไงบ้าง อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ"

https://www.facebook.com/TheHIMVA

แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น