(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 6 "วิชาเข้าฝันฉบับคนธรรพ์" | บทความ

บทความ


(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 6 "วิชาเข้าฝันฉบับคนธรรพ์"

Blog Single

ตอนที่ 6 

วิชาเข้าฝันฉบับคนธรรพ์


 

          การนอนเต็มอิ่มในยามค่ำคืนช่างเป็นความสุขที่ร่างกายของสินทรายต้องการเหลือเกิน คืนนี้เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่นรุตม์ให้สินทรายได้พักผ่อน ก่อนหน้านี้มีเรื่องราวความฝัน ความน่ากลัวของเหล่าภูตราตรีออกมารังควานชาวบ้านทุกคืน มันไม่เคยแบ่งแยกเพศ แยกวัย สินทรายก็ต้องกระเตงกายละเอียด ถอดจิตออกไปช่วยเหลือแม้ว่าจะเป็นช่วงฝึกหัดก็ตาม แต่ความเหน็ดเหนื่อยไม่ได้ย่อหย่อนไปกว่านักเวทย์ผู้พิทักษ์เลย

          โดยเฉพาะเหตุการณ์ประมือกับผีพรายเมื่อคืนเพียงลำพัง ที่ทำเอาสินทรายไม่อยากลุกจากเตียงไปทำอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นร่างมนุษย์ปกติ หรือร่างกายละเอียดก็ตาม

“บริ๊งงงงง!!”   “ตื่นได้แล้วเจ้าผู้พิทักษ์ฝึกหัดขี้เซา” เสียงพูดแทรกอากาศยามเงียบสงัดของนักเวทย์ผู้พิทักษ์นามว่านรุตม์คนเดิมที่กายของเขาโปร่งแสง นุ่งห่มผ้าสีเขียวพาดบ่ากับโจงกระเบน โผล่มาเช่นเคยในยามเช้าเพื่อเอารายชื่อมนุษย์ผู้ถูกผีร้ายคุกคามมาให้

“หูยยยย ตกใจหมดเลย ปลุกดี ๆ ก็ได้ สะดุ้งหมด อุตส่าห์ล็อคประตูแล้วเนี่ย” สินทรายพรึมพรำบ่นพูดในขณะหลับตาที่ตัวยังนอนซุกหมอนและซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มหนาๆ โดยร่างท่อนบนของเขานอนถอดเสื้ออยู่

“แล้วเหตุใดต้องตกใจ เจ้าน่าจะชินได้แล้วมั้ง” นรุตม์เจื้อยแจ้ว ต่อล้อต่อเถียง

“ไม่ชิน ท่านมาตอนผมโป๊อยู่เรื่อย เนี่ย ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านอน จะดูมั้ย แล้วบางคืนก็ชอบโผล่มาตอนอาบน้ำ”

“เข้าเมืองตาหลิ่ว หัดหลิ่วตาตาม เคยได้ยินไหม มาโลกมนุษย์ ก็ต้องหัดเคาะประตูบ้างสิ” สินทรายขี้เซาบ่นเป็นชุด แล้วไม่มีทีท่าจะลุกออกจากเตียงง่ายๆ

 “เอ้านี่ นายสินทราย คีตธร รายชื่อของคนที่นายต้องไปพิทักษ์ฝันคืนนี้ คนนี้อยู่กรุงเทพฯ” สิ้นเสียงคำว่ากรุงเทพก็สยองไปอีก จนดีดตัวเองออกจากผ้าห่มมาโวยวาย

“กรุงเทพอีกแล้วววว!!! โอ้ยยยย เวรกรรมอะไรของแก สินทรายยยย เห้ออออ!!

เมื่อคืนยังปราบผีพรายได้ไม่สิ้นซาก เป็นเหตุให้คืนนี้ต้องเตรียมตัวให้มากขึ้นเพื่อเคลียร์งานที่ยังสะสางไม่เสร็จ ตั้งแต่เกิดมาไม่คิดว่าชีวิตจะต้องมีอะไรให้รับผิดชอบมากขนาดนี้ แต่สงสัยบ่นโวยวายเสียงดังไป เหมือนใครในบ้านจะได้ยินเข้า

“ก๊อกๆๆๆ”   “สิน เป๋นอะหยังอ่าลูก อู้อะหยังคนเดียว” เสียงแม่เคาะประตู ยิ่งที่บ้านกำลังสงสัยว่าพักนี้ผมพูดคนเดียวบ่อยๆ วันก่อนก็มีผีเร่ร่อนมาเดินป้วนเปี้ยนหน้าบ้าน ผมก็มารยาทดีถามว่ามาหาใคร พ่อกับแม่ไม่ได้เห็นร่างกายละเอียดของภูตผีด้วย จึงคิดว่าผมประสาทหลอนอะไรรึเปล่า

“บ่ามีหยังครับแม่ อู้โทรศัพท์กับเพื่อนน่ะแม่” นรุตม์กลั้นขำเพราะได้ยินผมโกหกแม่

“อ๋อออ จะอั้นก่อตื่นแล้วลงไปกิ๋นข้าวกั๋นป่ะ ขวายล่ะหนา” เสียงแม่บอกให้ไปกินข้าวเพราะสายแล้ว ผมจึงลุกขึ้นยืนด้วยกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นและรีบสวมเสื้อกล้ามสีขาวใส่ ก่อนจะเปิดประตูเพื่อลงไปทานข้าว ก็หันกลับมาหานรุตม์ “วันนี้ฝึกคาถาปราบผีเด็ดๆเจ๋งๆให้ผมหน่อยนะ เอาแบบดีดเพลงเดียว ผียกธงขาวไปเลย”

นรุตม์ยิ้มกว้างแต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรผมก็ตัดบทก่อน

“เดี๋ยวคุยกันนะ เป็นเด็กให้ผู้ใหญ่รอทานข้าว มันไม่ค่อยดี” พูดจบผมก็ลงบันไดบ้านไปเจอโต๊ะอาหารเรียบง่ายซึ่งพ่อกับแม่เขานั่งทานรออยู่

“ยะอะหยั๋งกิ๋นก๋า”

“มาๆ ขะใจ๋โวยๆ ลองผ่ออิ ลำขนาด” แม่บอกให้สินทรายรีบมานั่งทานข้าว แล้วโชว์ฝีมืออาหารมื้อสายซึ่งเป็นของโปรดทั้งกุ้งและปลาหมึก อาหารทะเลที่หากินยากเพราะบ้านเราอยู่บนดอย ซึ่งทะเลนั้น ผมเองก็ไม่เคยได้ไปเห็นจริงๆ สักครั้งนอกจากดูในทีวี เพื่อนสนิทก็มีน้อย ไม่เคยนัดกันไปเที่ยวไหนไกลๆเลย

“เอ่อ แม่ว่าจะถาม นี่ก็ปิดเทอมแล้ว ลูกเฮียนจบ ม.6 คิดไว้หรือยังว่าจะเฮียนต่อตี้ใด จะใดพ่อง”

แม่ถามผมว่าจบ ม.6 แล้วจะเรียนต่อที่ไหนดี ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ติดนิสัยเวลาจะทำอะไรก็ต้องถามพ่อแม่ก่อน พอโตมาพ่อแม่ก็พยายามสอนให้คิดและตัดสินใจเอง แต่มันก็อย่างว่า เป็นเรื่องของนิสัย

“เอ่อออ....ลูกว่า....”

“เฮียน มหาลัยใกล้ ๆ ก็ดีหนา” แม่แนะให้เรียนใกล้บ้าน แต่สำหรับผมคิดว่า อยากไปให้ไกลกว่านี้ เพราะนี่ก็ 18 ปี แล้วที่ผมยังไม่เคยไปเจอโลกกว้างเลย สงสัยต้องรีบหาที่เรียนแล้วสิ เลยตอบแม่เท่าที่คิดได้ไปก่อนละกัน

“ลูกใค่เฮียนสาขาจิตวิทยาบำบัด ละก่ออะหยังตี้เกี่ยวกับดนตรี ป้อว่าดีก่อ” ผมหันไปถามพ่อ นี่นับว่าเป็นคำตอบเดียวที่ชัดเจนที่สุดที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเอง อีกอย่างถ้ามหาลัยใกล้บ้านไม่มีสาขาพวกนี้ จะได้ถือโอกาสใช้เป็นเหตุผลหาที่เรียนต่อไกลๆบ้านได้หน่อย

.

หลังมื้ออาหารอันแสนอร่อย

“ตึ๊งๆๆ” เสียงบรรจงดีดบรรเลงเพลงจากซึงเครื่องสาย ตอนนี้ผมอยู่ในสมาธิที่สมบูรณ์แล้ว ร่างกายและดวงจิตพร้อมแล้วที่จะได้รับการฝึกฝนบทเพลงพิฆาตแห่งคนธรรพ์ ซึ่งมีทั้งหมด 7 บท แต่ละบทก็จะมีความรุนแรงในการปราบภูตราตรีหรือผีร้ายได้แตกต่างกันออกไป

          ขณะที่สินทรายกำลังดีดพิณพิฆาตแห่งคนธรรพ์เข้าสู่บทที่ 3 แสงสว่างของดวงอาทิตย์ในยามเย็นที่ส่องแสงพาดผ่านกลีบเมฆใกล้เวลาพลบค่ำ นรุตม์เห็นพัฒนาการของสินทราย เขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่านรุตม์กำลังคิดถึงการต่อยอดในความสามารถนี้ให้ไปไกลกว่านักเวทย์สายคนธรรพ์ธรรมดาทั่วไป และอาจจะได้เป็นถึงเทวาพิทักษ์ในตำนาน

          “พอก่อนเถอะ สินทราย”

          “ฝึกแค่ 3 บทก่อน บทที่เหลือเจ้าจะต้องเรียนเพิ่มอีกหลายสิ่ง” สินทรายละมือจากซึงคู่ใจ มีท่าทางคิดตามคำของนรุตม์

          “บททำนองต่อจากนี้ เจ้าต้องได้รับการฝึกฝนจิตในการต่อสู้จากวิชาของนักเวทย์สายวิทยาธร ยิ่งบทสุดท้ายจิตใจเจ้าต้องเด็ดเดี่ยวและมั่นคงที่สุด ซึ่งต้องฝึกฝนจากอาจารย์นักเวทย์สายฤาษีแห่งเมืองหิมวาเท่านั้น”

          “แล้วผมจะไปเรียนที่หิมวาได้หรือป่าว” ผมถามอย่างสงสัย นรุตม์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ก็พอมีหนทาง”

          “งั้นแสดงว่า ผมไปเรียนได้น่ะสิ” ใช่แล้ว ผมค่อนข้างสนใจ แต่ลึกๆ ก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองมากนักหรอก นรุตม์เห็นท่าทีที่สนใจของผม จึงอธิบายต่อ “ปกติแล้วเมืองหิมวาเป็นดินแดนมนุษย์ครึ่งเทพ หากมนุษย์ธรรมดาจะเข้าไปได้ ต้องฝึกจิตให้ละเอียดมากๆเพื่อใช้พลังกายขั้นกายสิทธิ์ จึงจะผ่านเข้าไปได้”

          “พลังขั้น กายสิทธิ์” สินทรายทวนคำช้าๆ ขั้นนี้คือระดับพลังของนักเวทย์ผู้พิทักษ์แบบนรุตม์ หรือพวกชาวเมืองหิมวา ซึ่งตอนนี้มนุษย์ธรรมดาทำได้เพียงขั้นกายละเอียด ซึ่งเป็นกายระดับเทียบเท่าพวกวิญญาณผีเลย  มิน่า เวลาไปปราบผี ถึงปราบได้เฉพาะผีธรรมดาเร่ร่อน

          ผมพอเห็นหนทางว่าจะเก่งขึ้นได้อย่างไร ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถามอีกนิดดีกว่า

“แล้วพลังเวทย์ขั้นกายสิทธิ์นี่ จะฝึกได้ยังไงล่ะ”

“ค่ายพลังจิตญาณา บนโลกมนุษย์มีอยู่ที่นึง เป็นสำนักที่ดูแลโดยนักเวทย์สายวิทยาธรที่เปิดไว้สำหรับฝึกฝนลูกศิษย์หรือมนุษย์ผู้มีเชื้อสายวิทยาธร ชื่อว่า ค่ายญาณา” นรุตม์ตอบอย่างจริงจัง

“ค่าย-ญา-ณา!   เหมือนเคยเห็นชื่อนี้จากที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่แน่ใจว่าค่ายนี้เกี่ยวกับอะไร

          “ค่ายญาณาคือ ค่ายฝึกพลังจิต ให้เราค้นหาสีของจริตหรือสีของดวงจิตดั้งเดิมของเรา เพื่อต่อยอดสายวิชาที่เหมาะสม ผู้ใดค้นพบสีประจำดวงจิตของตนแล้วจะสามารถฝึกพลังเวทย์กายสิทธิ์ได้”

          “แล้วอะไรคือสีจริตของดวงจิตดั้งเดิมหรอ” ผมถามต่อด้วยความใคร่รู้

          “ดวงจิตเป็นดวงกลมเหมือนแก้วใสๆ สถิตอยู่ที่กลางท้องของมนุษย์ ซึ่งมีสีสันตามจริตหรือความชอบ การค้นพบดวงจิตดั้งเดิมว่ามีสีอะไรนั้น สำคัญที่ สีของดวงแก้วประจำกายจะบอกว่าเราควรฝึกวิชาเวทย์สายใด”

นรุตม์อธิบายทีละน้อย อย่างละเอียด แต่ดูจากสายตาของสินทรายแล้วเหมือนจะยังไม่เข้าใจ นรุตม์จึงหยิบดวงแก้วของตนออกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง

          “นี่คือดวงแก้วประจำกายเรา สีจริตดวงแก้วของเราเป็นสีเขียวมรกต สัญลักษณ์แห่งผู้สืบเชื้อสายจากเหล่าเทพคนธรรพ์” แสงสีเขียวสว่างสุกใสเปล่งประกาย ละอองมณีที่คละคลุ้งรอบดวงแก้ว สร้างความเย็นสบายแผ่คุ้มคลุมบริเวณโดยรอบ เทวาพิทักษ์หรือนักเวทย์สายคนธรรพ์ทั้งนครเพลินไพรในหิมวามีดวงแก้วสีเขียวแบบนี้ ต่างกันเพียงดวงแก้วของนักเวทย์ผู้มีพลังมากจะมีขนาดใหญ่กว่านักเวทย์ฝึกหัด

          “โหวววว ดวงแก้วนี่ขนาดเท่าลูกมะพร้าวเลย ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านนรุตม์ถึงเก่งกาจนัก” สินทรายตื่นเต้น

          “ท่านพ่อของข้าเป็นเจ้าเมืองเพลินไพร มีดวงแก้วบรมจักรขนาดเท่ากระด้ง ไว้ปกครองนักเวทย์สายคนธรรพ์ทั้งนคร ส่วนสำหรับเจ้า สินทราย นักเวทย์ฝึกหัดใหม่จะมีดวงแก้วเริ่มต้นที่ขนาดเท่าแววตาดำ”

          “ไหนๆๆ ดวงแก้วของผมอยู่ไหน เอาออกมายังไงล่ะ”

          “เจ้าจะสามารถค้นหาดวงแก้วประจำกายของเจ้าได้ที่ค่ายญาณาเท่านั้น” สินทรายฟังนรุตม์อย่างตั้งใจ เพราะครอบครัวของเขาก็จัดได้ว่าสืบเชื้อสายมาจากเทพคนธรรพ์เช่นกัน อาจจะเป็นไปได้ว่าเขานั้นจะมีดวงแก้วสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับนรุตม์

          “เอาล่ะ เจ้าจะมีโอกาสได้ฝึกวิชาเวทย์กายสิทธิ์สักวัน แต่ตอนนี้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เพราะคืนนี้ข้าไม่ได้ไปด้วยเช่นเคย เจ้ากลับไปที่เดิม หาสัญญาณดวงจิตของเด็กหญิงหรือคนที่เราจะไปหา ความคุ้นเคยจะพาเจ้าหายตัวไปถึงที่หมายได้อย่างแม่นยำ” นรุตม์พูดจบก็หายตัวไปทันที จนไม่ได้ฟังสินทรายจะถามบางอย่าง

          “เอ้ออ เดี๋ยว ท่านนรุตม์เมื่อคืนข้าเจอบดินทร์....เขา..” ไม่ทันได้เล่า นรุตม์ก็หายตัวไปแล้ว สินทรายตั้งใจจะถามว่าทำไมบดินทร์ถึงมองเห็นเขาแม้อยู่ในร่างกายละเอียดที่ถอดจิตได้ หรือว่า..

          “ไม่ถามดีกว่า บางทีเราอาจจะคิดไปเองก็ได้ เอาไว้วันนี้ไปถึงลองพิสูจน์อีกสักครั้งว่าเขามองเห็นเราได้จริงรึเปล่า” สินทรายเตรียมตัวพร้อม ถอดสร้อยข้อเท้า เข้านอนอย่างรวดเร็วเพื่อถอดจิตออกมา

เขากำหนดจิตนึกถึงเด็กหญิงเมื่อคืน วันนี้ต้องไปปราบผีพรายน้ำนั่นให้ได้ ขณะเขาทำสมาธิ จิตใจของเขายังติดและคาใจ สงสัยเกี่ยวกับบดินทร์ ทำให้ขณะกำลังเคลื่อนจิตหายตัวผ่านตัวกลางคือดวงจิตของมนุษย์ที่นึกถึง  เพียงไม่กี่วินาที จากเชียงใหม่ก็ถึงกรุงเทพได้ทันที ทันใดนั้นเขาไปโผล่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย

คราวนี้สถานที่หรือห้องปลายทางที่เขาพบเห็น ต่างจากเมื่อคืนเพราะไม่ใช่ห้องนอนปกติทั่วไป จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่ห้องนอนแล้วล่ะ ที่นี่มีทั้งแสงไฟ สีสันหลากสี เสียงดนตรีดังอึกกระทึก ช่างเป็นงานเลี้ยงหรือแหล่งบันเทิงที่ตื่นตาตื่นใจ สินทรายเป็นคนรักเสียงดนตรีมาก ๆ บนเวทีมีเครื่องดนตรีสากลหลากหลายชนิด ดึงดูดใจให้สินทรายอยากเดินไปดูใกล้ๆ มีทั้งกลอง กีต้าร์ เบส คีย์บอร์ด แล้วที่นี่ก็ผู้คนจอแจมากมาย ทั้งเต้น ทั้งนั่งอยู่ที่โต๊ะ

ช่างเป็นสถานที่ที่ผมไม่เคยมาสัมผัส ไม่เคยคิดจะได้เข้ามาด้วยซ้ำ ที่นี่คือคลับนักศึกษา หน้าร้านมีป้ายเขียนว่า คลับต้าวอ้วน

“ทำไมเรามาโผล่ที่นี่หว่า” ขณะกำลังมองหาดวงจิตของคนที่เป็นตัวกลางเชื่อมที่ผมนึกถึงล่าสุดก่อนหายตัวมา ผมก็เห็นชายคนนึงที่ตอนนี้กำลังนอนสลบนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ด้วยท่าที่ไม่ได้นอนปกติ ดูเหมือนจะฟุบหลับตาโต๊ะ ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลมากกว่า

“เอ๊ะ บดินทร์นี่นา ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อความแน่ใจว่าจำคนไม่ผิด ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนจากขวดและแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งรอบกายของบดินทร์ขณะฟุบหลับอยู่มีลูกค้าที่ร้าน ที่ดูยังมีสติอยู่แม้ไม่มาก โยกตัวร้องเพลงตามนักร้องบนเวทีแบบเมามาย กินเข้าไปขนาดไหนกันนี่ถึงได้ดูหลุดโลกขนาดนี้

บดินทร์หยุดงานวันนี้ แต่ก็ยังใช้เวลามาดื่มพักผ่อนอยู่ที่ร้านอาหารที่ตนทำงานเป็นประจำ

“เห้ย ไอ่ดิน ไอ่ดินเว้ย หลับยังว่ะ” เสียงของพนักงานในร้านคนนึง เอ่ยเรียกเขาขณะลืมตาตื่นมาแบบ งงๆ

ผมลองโบกไม้โบกมือให้ทุกคนในละแวกนั้น เพื่อเช็คให้มั่นใจว่าไม่มีใครเห็นผม แล้วก็ลองโบกมือให้บดินทร์เพื่อพิสูจน์ว่าเขามองเห็นกายละเอียดของผมหรือไม่ แต่ก็ยังนิ่งๆอยู่ นี่ไม่เห็นจริงๆหรือว่าเมาจนตาลายเนี่ย

 “เอานี่ ยานอนหลับมึงอ่า กูไปเอามาให้ล่ะ กินสะจะได้ไม่ต้องคิดมาก กลับห้องก็กินนะมึง

เพื่อนพนักงานที่ร้าน เอาแผงยานอนหลับมาให้เขาเพราะเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ หลับแล้วก็สะดุ้งตื่น เขารับมาแล้วใส่กระเป๋าจากนั้นก็ขยี้ตาแล้วก็บิดขี้เกียจ

“ดูท่าทางเจ้านี่คงจะเครียด...ไหนดูหน้าตาเจ้าคนนอนไม่หลับแล้วพึ่งพาสุราหน่อยสิ เป็นไงมั้ง”

ผมครุ่นคิดเบาๆ พยายามมองใบหน้าของบดินทร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาพอดี จึงสามารถมองเห็นหน้าได้ชัด ใบหน้าสะอาดคมแต่ผิวเข้ม คิ้วดก ท่าทางจะเครียดเพราะสาวตามจีบเยอะจนไม่รู้จะเลือกใครล่ะสิท่า

“......อืมมม ทดลองดูก่อนดีกว่า ว่าเขามองเห็นเราหรือเปล่า”

“เฮ้ ชนแก้ว นายเห็นเราไหม”  สินทรายทำท่ายกแก้วซดทั้งที่เขาก็หยิบแก้วไม่ได้ด้วยซ้ำ

“เห้ย ชนแก้ว มึง ชนแก้ว! บดินทร์ตอบรับยื่นแก้วมาทางสินทรายด้วย หรือเขาจะมองเห็นกายละเอียดของผมเหมือนเมื่อวานจริงๆ แปลกจังทำไมกันนะ

แต่ไม่ทันชนแก้ว บดินทร์ก็เปลี่ยนทิศทางยื่นแก้วไปหาเพื่อนที่นั่งเก้าอี้ข้างๆ ทันที

“อ้าว! ตาลาย มึงนั่งอยู่นี่เองหรอ เอ้าชนแก้ว หมดแก้วเว่ย” บดินทร์เปลี่ยนทิศยื่นแก้วที่ชูขึ้นไปทางซ้ายทีขวาที ชนแก้วกับเพื่อนและแขกคนอื่นๆในร้าน แถมกระดกซดจนหมด จนสินทรายดูท่าทางโล่งอก

“สรุปว่าเขาไม่น่าจะเห็นเรา งั้นเพื่อความแน่ใจ” ผมลุกไปนั่งเก้าอี้ที่ใกล้เขามากที่สุด

“ฮัลโหล ดิน นายชื่อบดินทร์ใช่ไหม เห็นเราป่าว” ผมโบกไม้โบกมือไปมาด้านหน้า ทั้งไกลและใกล้

“นี่กี่นิ้ว อ่าทายสิ เห็นนี่ไหม” ผมโชว์นิ้ว 2 นิ้วบ้าง 3 นิ้วบ้าง แต่ก็ไร้วี่แววการตอบใด ๆ สรุปว่าบดินทร์คงมองไม่เห็นผม เมื่อวานเป็นคงเป็นวันประหลาดมั้ง ...ดีล่ะ ไม่เห็นแบบนี้ ขอสำรวจหน่อย อาการเป็นไงน๊า

สินทรายโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆแต่ไม่ทันโดนตัวใด ๆ “อืมมม นายนี่ดูดีมาก ๆ เลย คิ้วตรงนี้คมชัด จมูกโด่ง ตาคม ขนตาเยอะๆหนาๆเรียงสวย ริมผีปากอวบอิ่ม หล่อนะเนี่ย อยากหล่อแบบนี้มั้งจัง” สินทรายเอียงคอไปมามองอย่างจดจ่อ

“แต่ใต้ตาคล้ำดำเป็นหมีแพนด้าที่เชียงใหม่เลยแหะ ฮ่าๆๆๆ”

.

          ฝ่ายบดินทร์ยังคงทำหน้านิ่ง แต่บดินทร์ครุ่นคิดในใจ

“เขาเป็นใครเนี่ย เมื่อวานตอนในลิฟต์ จู่ ๆ ก็หายตัวไป ตอนนี้ยังจะมานั่งจ้องหน้าอีก” บดินทร์คิดในใจและทำหน้านิ่งๆต่อไป เพราะเขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสินทรายต่างหาก โถถถ เป็นถึงกายมนุษย์ละเอียด แต่ถูกมนุษย์ธรรมดาหลอกเข้าให้ ถ้าเป็นผี นี่ละมั้งที่ว่า คนหลอกผี หรืออาจจะเรียกอีกชื่อว่า ผีน้อยน่ารัก เพราะดูแล้วสินทรายไม่น่ากลัวเลยสักนิด สินทรายเอ๊ย โดนหลอกสะแล้ว

บดินทร์ต้องการทดลองอะไรบางอย่าง เพราะเมื่อกี้เขาเองก็เกือบพลาดรับชนแก้ว แต่พอดีได้ยินว่า นายเห็นเราไหมก่อน จึงสันนิษฐานว่าเจ้านี่เป็นผี แต่ขอโทษ คนอย่างนายดิน ไม่กลัวผีหน้าตาบ๊องแบ๊วแบบนี้หรอกนา

บดินทร์ลุกขึ้นยืน วางแก้วน้ำลงแล้วบอกเพื่อนว่าขอไปห้องน้ำ

“เห้ย กูไปห้องน้ำก่อนนะ แปบนึง...อย่า!..เพิ่ง!..เมา!

บดินทร์บอกเพื่อน ๆ ว่าจะไปห้องน้ำ ซึ่งก็ได้ผล เพราะสินทรายเดินตามเขามาติดๆ แถมทำตัวติ๊งต๊องชูไม้ชูมือตามนักร้องในคลับ สายตาชูคอละห้อยเหมือนไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้ แล้วสินทรายก็วิ่งนำหน้าบดินทร์ไปที่ห้องน้ำ เพราะรู้ว่าเจ้าคนเดินเซเล็กน้อยด้วยอาการเมาจะมาเข้าห้องน้ำ สินทรายระลึกตัวรู้ว่าตนเป็นกายละเอียดจึงวิ่งทะลุผู้คนในคลับ จนกระทั่งวิ่งทะลุประตูห้องน้ำ ส่วนนายบดินทร์เองผู้ที่สติยังไม่มาครบทุกส่วน เดินตามมาก็เผลอทำตาม คิดว่าตัวเองเดินทะลุประตูได้

“ปัง!! เสียงหน้าผากและจมูกโด่งๆของเขาปะทะกับประตูอย่างจัง ทำเอาเจ้าตัวสร่างเมา

“โอ้ยยย อะไรว่ะเมื่อกี้ เจ้าผีน้อยนั่นเดินทะลุประตูได้ นี่เราเมาหรือตาลายกันแน่”

บดินทร์คิดในใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูแบบมนุษย์ธรรมดาที่ควรทำแต่ทีแรก

เมื่อเข้าประตูไป หันซ้ายแลขวาก็ไม่เจอเจ้าผีน้อยตัวนั้นแล้ว เขาเดินสำรวจทุกประตูห้องน้ำที่ๆควรจะมีห้องไหนปิดสักห้อง แต่ก็เห็นส่วนใหญ่เปิดอ้าไว้ จนเขาเดินจนถึงห้องสุดท้าย ก็ยิ้มมุมปากเพราะน่าจะห้องนี้แหละเพราะประตูปิดอยู่ เขากำลังเดินไปอย่างช้าๆ และสุดท้ายก็มีคนเปิดประตูออกมา เป็นชายแปลกหน้าในคลับนี่แหละที่มาเข้า ผีน้อยนั่นหายไปไหนของเขานะ

บดินทร์เดินไปที่โถฉี่ รูดซิปกางเกงเพื่อทำภารกิจส่วนตัว แล้วคิดในใจสรุปความในใจว่า

“อืม ดีๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ ตอนแรกก็ตามเป็นเงา แต่ทีนี้มาหายหัว เจอผีตัวเป็นๆเลยนะเรา”

คิดในใจยังไม่ทันไร จู่ๆก็มีร่างโปร่งแสงเดินทะลุผ่านกำแพง ตรงโถฉี่ข้างๆซึ่งทำให้บดินทร์ที่บ่นพรึมพรำคนเดียวอยู่เพียงลำพัง ตกใจ สะดุ้ง

“ไอ่ผีต้าวบ้า เอ้ย จู่ๆก็โผล่มา ไม่ให้สุ้มให้เสียง” บดินทร์คิดในใจ ดึงสติแล้วรีบฉี่ออกให้หมดโดยเร็ว เพราะแม้ตนไม่กลัวผี แต่ผีตัวนี้มันก็หลอกเราเนียนๆเหมือนกัน หลอกให้มองหาแล้วก็โผล่มาทำตาซื่อๆเนี่ยนะ

“ยังอีก ยังจะยืนมองคนฉี่อีก” แม้บดินทร์ตกใจสะดุ้งแค่ไหน แต่เขาก็ต้องแกล้งทำเหมือนมองไม่เห็น เฉไฉแกล้งทำเป็น สะอึกแทน ทำให้ทุกอย่างเหมือนกับว่าในห้องน้ำนั่นมีเขาอยู่คนเดียว เพื่อเก็บข้อมูลของผู้พิทักษ์ฝึกหัด นามว่าสินทราย ที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผี แถมเป็นผีน้อยน่ารักด้วย

สินทรายเอ้ย จู่ๆ ก็ถูกมองเป็นผีไปสะงั้น

บดินทร์เดินไปล้างมือที่อ่างล้างหน้า ยืนพิงอ่างสักพักให้สร่างเมา แล้วเปิดโทรศัพท์ดูปฏิทินก็พบว่าพรุ่งนี้ว่าง แสดงว่าวันนี้อยู่ดึกได้ ส่วนเปิดเรียนวันจันทร์ไปก็จะมีสมัครโควต้าเรียนต่อ และชกมวยชิงเงินรางวัล ซึ่งเป็นงานเสริมใหม่ที่เขาเพิ่งได้มา เขาวางแผนตารางชีวิตในโทรศัพท์มือถือไปพรางๆ ในขณะที่สินทรายก็เดินมาใกล้ๆเขาอีก เพื่อเก็บข้อมูลเผื่อจะเจอสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ จะได้รักษาถูก

สินทรายคิดว่าบบดินทร์มองไม่เห็นเขาจึงยื่นหน้ามาใกล้ เขย่งขาให้สูงขึ้นเพราะระดับสายตาของเขาก็แค่หัวไหล่ของบดินทร์ ซึ่งสูงกว่าเขาประมาณ 10 เซนติเมตรได้ เขาชะโงกหน้าดูจอโทรศัพท์เพื่อสืบว่าบดินทร์ดูอะไรอยู่ จากนั้นพอเห็นปฏิทินก็พยักหน้าชูนิ้วโป้งให้ ชื่นชมว่าบดินทร์มีความรับผิดชอบมากๆ มีงานแน่นเลย

“ไหนดูสิ พรุ่งนี้ว่างแล้วเมื่อรืนละ” สินทรายกำลังทำตัวจุ้นจ้านเล็กน้อย ว่าแล้ว เขาก็ฉุกคิดอะไรได้ ว่า ทำไมถึงอยากดูแลมนุษย์คนนี้มากเป็นพิเศษ

“วันเมื่อรืนมีต่อยมวย นี่หว่าเรา” บดินทร์พรึมพรำพูดขึ้นแถมแอบชำเลืองมองไปที่สินทราย ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้เพราะมัวแต่จ้องหน้าจอมือถือ

“นายดินจะไปที่สนามมวย เอ๊ะโอ๋ นายเป็นนักมวยเดิมพันหรือเปล่าเนี่ย” สินทรายพูดอยู่คนเดียวซึ่งไม่ทันระวังตัว เพราะคิดมั่นใจไปว่าดินไม่เห็นตัวเองแน่นอน แถมเงยหน้ามองดินชนิดว่าใกล้ได้อีก เท่าที่เคยใกล้มาเลย คือลมหายใจรดต้นคอแล้ว

“ใบหน้าของนักมวยนี่ เนียนไร้สิว มีน้ำมีนวลอย่างกับคนเชียงใหม่ที่กินชาเขียวทุกวันเลย ขริขริๆๆ”             สินทรายยังคงมองบดินทร์อยู่ ในขณะที่เจ้าตัวก็เลื่อนโทรศัพท์เขียนกำหนดการกิจกรรมในปฏิทินเพิ่มละเอียดขึ้นเหมือนว่าอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนจะไปที่ไหนบ้าง ทำให้สินทรายชะเง้อคอมองหน้าจอใกล้อีก

“ใกล้หน้าชั้นไปแล้ว เจ้าผีน้อย” บดินทร์คิดในใจได้เพียงเบาๆ ไม่อยากหลุดปากออกตัวว่ารู้ว่าเห็น แต่ทว่าเสียงหัวใจมันไม่สามัคคี เพราะตอนนี้มันเต้นแรงดังรัวๆ แต่ก็พยายามควบคุมให้เหมือนปกติที่สุด นี่เป็นอาการของคนกลัวผีใช่ไหม

บดินทร์จึงรีบหยิบยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรบอกเพื่อนที่ปลายสายโดยเวลานี้ก็เกือบตี 1 แล้ว ซึ่งความจริงเขาควรส่งข้อความบอกหรือบอกวันพรุ่งนี้เช้าก็ได้

“ฮัลโหล มึง วันเมื่อรืนอ่า เจอกันที่สนามมวยริมน้ำเจ้าพระยา บ่าย 3 โมงนะ แต่กูจะไปก่อนตอนบ่าย จะรีบไปซ้อม ยังไงก็มาเชียร์ด้วยล่ะ”

บดินทร์พูดกับเพื่อนปลายสายที่ดูท่าทางจะไม่ตอบอะไร หรือไม่ก็หลับไปแล้วแต่เผลอรับสาย สินทรายได้แต่ยืนมองหน้าเขา แล้วพูดกับตัวเอง “บ่าย 3 โมงหรอ บ่าย 3 โมง”

สายตานิ่ง ๆ ซื่อ ๆ แฝงไปด้วยความซุกซนของเด็กอ่อนต่อโลกแบบสินทรายนี่ช่างง่ายมากต่อการถูกหลอก

บดินทร์เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะที่มีเพื่อนอีก 2 คนนั่งอยู่

“เฮ้ย พวกมึง กูกลับคอนโดก่อนนะ เมื่อรืนกูมีชกมวย ยังไงก็ถ้าว่างมาเชียร์ด้วยนะ”

สินทรายได้ยินที่นายดินเน้นย้ำเพื่อนเรื่องให้มาเชียร์ แสดงว่าเขาคงต้องการคนให้กำลังใจมากๆเลยสินะ

บดินทร์โบกมือลาเพื่อน แล้วขี่มอเตอร์ไซต์ สินทรายในร่างกายละเอียดกลัวว่าจะหลงทาง เพราะคืนนี้เป้าหมายคือต้องไปที่คอนโดนั่นเพื่อปราบผีพราย เขาจึงรีบกระโดดขึ้นซ้อนท้ายบดินทร์ทันที ความรู้สึกของบดินทร์สัมผัสถึงความเย็นยะเยือก

ขณะที่เขาขับรถไปเรื่อย ในยามที่รถเบรกกะทันหัน เจ้าตัวซ้อนท้ายก็ไม่หลุดกระเด็นไปไหน เนื้อตัวที่กระทบกันก็โปร่งแสงสัมผัสได้แต่อากาศเย็นๆเมื่อเข้าใกล้กัน สินทรายกลัวรถในเมืองใหญ่ที่เร็วและซอกแซกไปมา และไม่มีหมวกกันน็อค แต่หากรถล้มยังไงตนเองก็ไม่เป็นอะไรสักหน่อย แต่ด้วยความที่ยังไม่ชินกับร่างนี้จึงกลัวไปตามประสา

“เอาว่ะ วันนี้ยังไงก็ต้องปราบผีพรายให้ได้ แล้วจะแถมกล่อมเจ้านี่นอนหลับฝันดีโดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับเลย ทำเพื่อหน้าที่และแต้มบุญ”  

งานของนักเวทย์ผู้พิทักษ์ได้แต้มบุญเป็นเหมือนพลังงานสำหรับการฝึกพลังเวทย์ในขั้นต่อๆไป สินทรายช่างดูมุ่งมั่นขึ้นมาเลยจริงๆ ลืมไปเลยว่าเป็นคนขี้เกียจ ขี้เซาเอาแต่นอน

สินทรายยังไม่ทันรู้สาเหตุของอาการนอนไม่หลับของบดินทร์เลยแม้แต่น้อย ได้แต่คาดการณ์ว่าอาจจะทำงานหนักเพื่อเงิน หรืออาจจะแฟนทิ้งมา แต่ที่รู้ๆก็เพราะเขาขาดผู้พิทักษ์ฝันเป็นแน่ ก็อย่าเพิ่งคิดนำไปไกลเลย ตามสืบสะก่อน บดินทร์กลับห้องพักซึ่งก็อยู่คอนโด 10 ชั้นที่สินทรายเพิ่งมาเมื่อคืนวานนี้

พอลงจากรถมอเตอร์ไซต์ สินทรายยืนอยู่หน้าคอนโด ก็เกิดผวากลัวผีพรายน้ำผมยาวลากดินขึ้นมาจับใจ คิดกังวลว่าอาจจะอยู่แถวนี้ก็เป็นได้ แต่เอ๊ะเจ้าหนูเด็กหญิง 10 ขวบ เป็นยังไงมั้งเนี่ย ว่าแล้วก็ขอแอบไปดูสักหน่อย วันนี้ดูแลส่งคนเข้านอนไปเลย 2 คน สินทรายใช้จิตกำหนดไปที่หน้าประตูห้อง 809 ที่เมื่อวานเขาเพิ่งวิ่งหนีผีจากจุดนี้

ส่วนบดินทร์ขึ้นลิฟต์ โดยไม่เห็นคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นผีน้อยน่ารักหายไปไหนแล้ว จึงเข้าห้องตามปกติ

ในห้องนอนของเด็กน้อยวัย 10 ขวบ นอนหลับสนิท วันนี้ที่ห้องของเขามีผู้หญิงวัยกลางคน ท่าทางจะเป็นคุณแม่มานอนกอดอยู่ข้างๆ คงช่วยให้ลูกไม่ฝันร้ายได้ ความจริงแล้วน่าจะนอนกับลูกตั้งนานแล้ว คิดๆดูนะ ถ้าบ้านไหนอบอุ่น พ่อแม่มานอนกับลูกบ่อย ๆ น่าจะช่วยลดปริมาณฝันร้าย ลดภาระแรงงานนักเวทย์กายสิทธิ์ผู้พิทักษ์ที่งานหนัก จากที่ดูแลมนุษย์หลายๆคนเป็นงานเสริมก็จะได้กลับมาดูแลคนเดียวแบบ 1 ต่อ 1 สักที นรุตม์นักเวทย์สายคนธรรพ์จะได้ไม่ต้องให้สินทรายมาทำหน้าที่เหนือมนุษย์คอยดูแลใครหลายๆคนเช่นนี้ คิดตามประสาคนขี้เกียจอีกแล้วสินะ สินทราย เอ้ยยย

เขาคุ้นกับกำแพงห้องที่อยู่ตรงข้ามปลายเตียงของห้องนอนเด็กน้อยสีชมพูนี่ หากทะลุไปตรงนี้ก็จะเป็นทางเดินของคอนโด ซึ่งกลับกันหากทะลุกำแพงนี้ไปด้านขวา ก็จะเป็นห้อง 808 ข้างๆกัน นั่นคือห้องของนายดิน มนุษย์ที่เขามีเป้าหมายในใจว่าต้องพาเข้านอนแล้วดลจิตให้หลับฝันดีให้ได้ เพื่อวันนี้จะได้บรรลุเป้าหมายได้แต้มบุญแบบบคูณสอง เมื่อวานก็พลาดไปแล้ว สินทรายจึงหันหน้าไปอีกทาง คือกะว่าทะลุถึงห้องบดินทร์ทีเดียวไม่ต้องอ้อมไปเข้าทางประตูด้านหน้า

ทันใดนั้นสินทรายผู้พิทักษ์ฝึกหัดดวงตาใสซื่อที่เจ้าของห้องข้าง ๆ เข้าใจว่าเป็นผีน้อยน่ารัก ซึ่งนอกจากบดินทร์เองจะไม่กลัวผีแล้ว ยังยอมให้นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์กลับมาคอนโดอีก ตอนนี้บดินทร์กำลังทำอะไรอยู่นะ

สินทรายทะลุกำแพงไปอีกห้องนึง ข้างในพบแสงไฟสว่างแบบสีส้ม ๆ เหลือง ๆ ในนั้นมีกระจก 1 บานเล็กๆ ที่ตนส่องแล้วก็ไม่เห็นเงาอะไรตามประสาร่างกายละเอียด ที่เบื้องหน้ามีอ่างล้างมืออยู่ 1 อัน

“นี่มันห้องน้ำนิหว่า เห้ยย เจ้าของห้องไม่อยู่ในนี้ใช่ไหม”

“....!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

“ซู่ๆๆ ชวู่ๆ” เสียงเหมือนน้ำที่ฉีดลงจากฝักบัวกระทบกับลำตัวหนาๆสูงใหญ่บางอย่างที่อยู่ด้านหลังของเขา สินทรายค่อยๆหันหลังกลับไปมองอย่างช้าๆ ค่อยๆหันหน้าไปก่อนแล้วค่อยหันทั้งตัวตามไป เพียงหางตาที่มองเห็น แว๊ปแรกรู้เลยว่าเจ้าของห้องไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แล้วกำลังอาบน้ำอยู่ สังเกตจากเนื้อกายผิวเข้มๆที่กำลังใช้สบู่ฟองฟอดถูตัวอยู่ ปกคลุมทุกสัดส่วนของร่างกาย พอสินทรายหันหน้ากลับไปจนมองเห็นชัด เขาก็ตกใจทำตาตื่น จากตาดวงใสๆ เล็กๆที่ดูจะลืมตาได้ไม่เต็มที่ของเขาก็ลุกโตแววตาดำขลับ เบิกกว้างออกมาบนใบหน้าขาวนวลจิ้มลิ้ม ทำเอาบดินทร์ที่แก้ผ้าอาบน้ำอยู่เห็นเข้าด้วยความไม่ชิน จึงอุทานร้องแต่เบาๆ เพราะเก็บอาการอยู่

“อูยยย!!!

ดวงตาทั้ง 2 ประสานกันอีกครั้ง สีหน้าของสินทรายที่เมื่อครู่ตกใจหน้าเหวอกลับเปลี่ยนสีเป็นประหลาดใจทำตัวไม่ถูก เอามือป้องปากหุบปากเงียบเพราะสงสัยเจ้าของห้องคงจะมองเห็นเราเสียแล้ว จะมาเห็นอะไรตอนนี้ โดยเฉพาะในห้องน้ำเนี่ย เดี๋ยวเขาจะมองว่าเราโรคจิตหรือเปล่า

“โอ่อออ กล้ามหน้าอกตรงนี้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแหะ” บดินทร์เปลี่ยนท่าทางที่ตกใจเมื่อเห็นสินทรายเมื่อครู่ แกล้งเนียนทำเป็นไม่เห็นต่อ รักษาอาการแล้วแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นต่อไป ด้วยการเอามือมาคลำที่ราวนมขณะมองกระจก พบว่าหน้าอกของตัวเองที่นูนๆด้วยกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก

“เห้อออ คนอะไรตกใจนมตัวเอง ไอ่บ้า... เกือบช็อคแหนะเรา”

สินทรายบ่นแบบนี้ แสดงว่าได้ผลอีกละสิ แหม หลอกง่ายจริง ๆ นะผีน้อย เขาจึงผ่อนลมหายใจที่เมื่อครู่ตกใจเบาๆ ก่อนที่บดินทร์จะหันหลังไปเปิดฝักบัวให้น้ำไหลรินรดตัว ชำระฟองสบู่ที่ปะพรมร่างกายออกจนล้อนจ้อน

“อ๊ากกก” เสียงตะโกนสุดลำคอของกายละเอียด สินทรายตกใจบางอย่างจึงรีบวิ่งทะลุประตูห้องน้ำออกไป

บดินทร์เกือบร้องไล่ตกใจตามเสียงร้อง จะเป็นเสียงร้องแบบผีในหนังก็ไม่ใช่ เพราะมันน่ารักเกินไป จนเกือบหลุดด้วยสีหน้าที่ตกใจ แต่พอสินทรายผีน้อยวิ่งออกไปแล้วจึงอดยิ้มกว้างปนขำเบาๆไม่ได้ นี่คือยิ้มแรกในตัวของบดินทร์เลย จากที่เก็กหน้านิ่งชอบเกรี้ยวกราดมาตลอด เสียดายที่สินทรายไม่ทันเห็น

บดินทร์เอาผ้าขนหนูสีไข่ไก่เช็ดตัวให้แห้งๆหมาดๆแล้วห่มกายเดินออกจากห้องน้ำไป ชำเลืองสายตามองเล็กน้อยเพื่อหาเจ้าตัวผีวุ่นวายที่เมื่อครู่มาแอบดู เอ่ะ ไม่สิ มายืนจงใจดูเขาอาบน้ำ แต่แล้วก็เห็นสินทรายนั่งอยู่ที่โซฟา สรุปแล้วเป็นผีใช่ไหม แล้วมาทำอะไรที่นี่ ต้องการอะไร

“เอาเป็นว่าแกล้งทำไม่เห็นต่อไปละกัน เขามีแต่ผีหลอกคน แต่นี่อะไร คนหลอกผีสะงั้น” บดินทร์คิดในใจ

บดินทร์จึงเดินไปที่เตียงขนาด 1 คนนอน เพราะห้องคอนโดที่เขาเช่าอยู่นี้ เป็นห้องเดี่ยวขนาดเล็ก ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เขาอยู่ง่ายๆแบบสมฐานะ เตียงที่มีก็เป็นเตียงเหล็กประกอบซื้อราคาถูกที่นอนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

ดินล้มตัวลงนอน จึงถึงเวลาที่สินทรายจะทำงานของตัวเองสักที เขาเสกซึงเครื่องสายคู่ใจขึ้นมาแล้วเตรียมดีดบรรเลงกล่อมให้มนุษย์หลับใหล แม้วิชาคนธรรพ์ที่เขาดีดยังไม่แกร่งกล้า แต่บทเพลงละมุนละไมนี้สามารถทำให้คนฟังก็เคลิ้มหลับได้ ด้วยอานุภาพของคลื่นเสียงเดลต้าที่ละเอียดสุด

สินทรายดีดไปจนตัวเองก็ฟังไปแทบหลับเอง แต่เจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียงยังนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมา อย่างกับเพลงที่ฟังไม่เข้าหู หรือไม่ถูกจริต เขาจึงเปลี่ยนวิธีกล่อมแบบใหม่ๆ พาให้เห็นจินตภาพแห่งความฝันว่าได้ชัยชนะจากการชกมวยแต่แล้วสักพักเจ้าตัวก็สะดุ้งขึ้นมาอีก จนแล้วจนเล่าลองวิธีอื่นๆ ทั้งให้เกิดสภาวะหูดับเงียบสนิทแบบอยู่คนเดียวในจักรวาล เจ้าตัวก็พรึมพรำบอกว่า

“เอ้ยยย มันเงียบอะไรแบบนี้ ไม่เอา” บดินทร์เหมือนพูดกับตัวเอง แต่ทำไมคนที่อยู่ด้วยรู้สึกว่าเขาบอกตัวเองนะ จากนั้นบดินทร์ก็เริ่มใช้นิ้วเคาะเตียงดัง ตึง ๆ ๆ ให้ห้องมีเสียง จนสักพักเขาก็ลุคมาเปิดโคมไฟ จนสินทรายที่ยืนถือเครื่องดนตรีอยู่ต้องนิ่งและงุนงง นายดินหยิบยามา 1 แผง แกะออกแล้วจับใส่ปากกรอกน้ำตาม นี่คงเป็นยานอนหลับเช่นเคย

 คนเรามีกี่ประเภทกันนะ ทำไมบางคนใช้ดนตรีกล่อมก็หลับ บางคนพาไปฝันวิ่งเล่นในที่ๆชอบ บางคนพาไปเจอความปรารถนาที่เป็นจริง บางคนก็ให้สงบนิ่งๆหลับสนิท แต่ทำไมคนนี้หลับยากจัง สินทรายมองซ้ายขวาเผื่อว่าแถวนี้จะมีผีร้ายมารบกวนหรือเปล่า แต่ก็กลับไม่พบ แม้กระทั่งวี่แววของผีพรายก็ไม่ปรากฎ เขารีบเสกเอาหนังสือโบราณตำราผู้พิทักษ์ขึ้นมาเปิดไปหน้ากลยุทธ์กล่อมมนุษย์ให้หลับสบายว่ายังมีวิธีไหนอีก

เขาใช้นิ้วไล่ดูทุกกลยุทธ์ทุกวิธี ซึ่งเขาก็ทำมาหมดแล้วนินา ทำไมยังไม่หลับอีก จนกระทั่งไล่ไปถึงข้อวิธีการสุดท้ายของบทกล่อมใจให้หลับ วิธีนั้นคือวิธีเดียวกันกับที่คุณแม่ข้างห้องนี่เอง ที่ใช้วิธีกล่อมลูกสาววัย 10 ขวบเข้านอน มันคือการกอด เหลือเวลาอีกไม่มากต้องกลับคืนร่างแล้ว

สินทรายไม่รีรอ บอกตัวเอง “เอาว่ะ ไม่มีอะไรจะเสีย” จากนั้นเขาจึงหย่อนตัวเองด้วยร่างเล็ก ๆ โปร่งแสง ล้มตัวลงที่นอนข้าง ๆ นายดิน โดยที่อีกฝ่ายนอนหันหน้ามาฝั่งเดียวกันเหมือนว่ายังลืมตาอยู่

“ยังไงเขาก็มองไม่เห็นเราหรอก วิธีสุดท้ายแล้ว นายหลับสักทีเถอะ เราจะได้กลับบ้าน”

สินทรายพูดเบาๆแต่ดินได้ยินชัดเต็ม 2 หู ไม่นานสินทรายก็กลิ้งตัวเล็กน้อยให้ตัวร่างโปร่งแสงของเขาสอดเข้าไปในวงแขนของบดินทร์ ชนิดว่าอยู่ใกล้แนบชิดกับเจ้าของเตียงพอดี เนื้อกายมนุษย์ละเอียดกับกายมนุษย์หยาบไม่มีทางสัมผัสกันได้ นายดินเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นที่ปลายแขนตรงจุดสัมผัสที่แตะถึง เหมือนว่ามีลมเย็นๆทั้ง ๆ ที่ในห้องปิดหน้าต่างมิดชิด

บดินทร์เอามือขึ้นมาโอบพาดหัวของสินทรายไป ซึ่งไม่สามารถสัมผัสโดนกันได้ จากนั้นก็หลับตา เสียงลมหายใจผ่อนเบาบ่งบอกว่าจิตของบดินทร์ผลอยหลับแล้ว ดินยังพูดเบา ๆ ละเมอว่า “สบายจังเลย”

สินทรายได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่รู้ทำไมถึงหุบยิ้มไม่ได้ ช่างเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แต่อีกใจก็ลังเลสงสัยว่าที่บดินทร์หลับนั้น เป็นเพราะตนเองที่ใช้วิธีสวมกอดหรือเป็นเพราะยานอนหลับกันแน่ แต่ก็ช่างเถอะวันนี้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ดวงจิตของสินทรายทะลุผ่านมิติถึงห้องเล็ก ๆ บนดอยเชียงใหม่

ทางด้านของดินภายนอกเตียงที่เขานอนอยู่ยังมีกลุ่มควันดำเป็นพลังวิญญาณนึงที่เฝ้ามองอยู่ตลอดเหตุการณ์ นั่นคือวิญญาณของสัมภเวสีผีพรายน้ำที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน แต่วันนี้เขาทำอะไรไม่ได้ ขาดพลังวิญญาณให้สูบกินเนื่องจากเด็กหญิงมีแม่คอยโอบกอดอยู่ ส่วนนายดินที่ผีร้ายตนนี้เพิ่งเจอในลิฟต์ก็มีบางอย่างป้องกันเขาอยู่ซึ่งเป็นพลังอาคมที่แกร่งกล้าจนไม่สามารถแตะต้องได้

จุดหมายเดียวของผีร้ายในเวลานี้ก็คือการสูบกินวิญญาณกายละเอียดของสินทรายแทน โดยหวังว่าสักวันจะได้ยึดร่างของเขาเป็นแหล่งอิงอาศัย หนุ่มน้อยหัวอ่อนแถมขี้กลัวที่มาวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆคอนโด กำลังเป็นตกเป็นเหยื่อ

 ___________________________________________________________________________________________________________________________


อ่านจบตอนนี้แล้ว เป็นยังไงบ้าง อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ


https://www.facebook.com/TheHIMVA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 






แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น