(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 7 "ชะตาฟ้าลิขิต" | บทความ

บทความ


(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 7 "ชะตาฟ้าลิขิต"

Blog Single

ตอนที่ 7 

ชะตาฟ้าลิขิต



 

               ปุยเมฆดอยคลอเคล้า เคลียยอดดอยโอบเขา อากาศเย็นเบาๆสบายกายยามได้อยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อบอุ่น บนเชิงดอยที่ไกลจากตัวเมือง ไม่มีเสียงแตรรถหรือคันเร่งจอแจ แต่เช้านี้มีเสียงเคาะประตูดังที่ห้องนอนของสินทราย เจ้าตัวคิดในใจว่า นรุตม์เจ้านักเวทย์กายสิทธิ์นี่ก็ดีจริงนะ เริ่มเรียนรู้มารยาทของมนุษย์ในการเคาะประตูก่อนจะเข้ามา

“ก๊อกๆๆๆ”

          “สินทราย” เสียงนุ่มลึกดังขึ้นหลังจากเห็นร่างโปร่งแสงทะลุผ่านประตูเข้ามาให้หลังจากเสียงเคาะไม่นาน ผมกำลังนั่งเกลาสายซึงคู่ใจ เครื่องดนตรีที่เป็นเสมือนเพื่อนคู่คิดยามที่ผมอยู่คนเดียว

          “อะไรกัน วันนี้เจ้าตื่นเช้า ขยันอะไรขึ้นมากันเนี่ย พ่อหนุ่มนักเวทย์ฝึกหัด” นรุตม์แซวผมเพราะร้อยวันพันปี คงไม่เห็นผมตื่นก่อนพระอาทิตย์สิท่า ใช่แล้ว เช้านี้ผมนึกอยากลุกขึ้นมาฝึกทำนองคนธรรพ์เพื่อจะได้ใช้กล่อมฝันหรือปราบผีร้ายให้ชำนาญขึ้น

          “ครั้งที่แล้ว เพลงพิฆาตแห่งคนธรรพ์ ข้าฝึกถึงบทที่ 3 แล้ว ถ้าจะดีดบรรเลงให้คนหลับต้องใช้กี่บทกัน”

สินทรายถามแล้วเขยิบตัวลุกขึ้นไปนั่งข้างๆนรุตม์ที่หัวเตียงอย่างจดจ่อรอคำตอบ

“นี่เพลงคนธรรพ์นะ แค่ได้ยินบทแรก มนุษย์ก็สลบไสลไร้สติแล้ว”

“ฮ่ะ นี่ผมดีดไม่ดีรึไง ทำไม เอ่อ....” ผมกำลังสงสัยในความสามารถตนเองว่า ทำไมเมื่อคืน ดีดอยู่นาน แต่บดินทร์ก็ไม่ยอมหลับสักที ดีดไปถึง 3 บทนี่ล้มช้างได้เลยละมั้ง

“ทำไมอะไร หืมมม” นรุตม์ทำสายตาเจ้าเล่เค้นข้อมูลอย่างกับตำรวจสอบสวน

“ผมก็แค่สงสัยไปเรื่อยน่ะ แต่เออ มนุษย์ปกติเขาต้องไม่เห็นร่างโปร่งแสงของกายละเอียดเราใช่ไหม”

“สงสัยอะไรของเจ้าอีก เจ้าก็รู้ร่างกายละเอียดต้องใช้ดวงตาที่ละเอียดถึงมองเห็น ดวงตาปกติมองไม่เห็นเพราะต้องใช้อำนาจของใจที่ฝึกฝนได้ตาทิพย์ ถึงมองเห็นวิญญาณได้”

“แต่ว่า....”

          “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไหนลองฝึกเพลงพิฆาตคนธรรพ์บทแรกให้ข้าฟังหน่อย” คำสั่งที่แสนเด็ดขาด นรุตม์แทรกความกังวลของผมผู้ที่ไม่เคยจริงจังกับชีวิต หรือเพราะนรุตม์จะรู้ว่าครั้งที่ผมไปกรุงเทพ ผมไม่ได้ปราบผีพรายตนนั้น เลยอยากให้ผมรีบเก่งขึ้น

          “เพลงคนธรรพ์น่ะ ผมดีดจนคล่อง จนจำได้ทุกตัวโน๊ตแล้ว อ่าๆๆๆ ก็ได้ๆ”

          “การฝึกฝนที่ได้ผลดี ต้องมีสมาธิที่แน่วแน่ เจ้าบรรเลงได้ดีก็จริง แต่ถ้าเจ้าคุมสติไม่นิ่ง ยังหวาดกลัวภูตผีอยู่ มนต์บทเพลงศักดิ์สิทธิ์แค่ไหหน ก็จะกลายเป็นเพียงเพลงธรรมดาที่นักดนตรีในเมืองมนุษย์เล่นเพื่อความบันเทิง”

นรุตม์กำลังเอ็ดผมแน่ๆ ผมพยักหน้าอย่างหงอยๆ วันนี้นรุตม์เคร่งครัดกับผมมากเหลือเกิน

          “ครับๆ” ผมค่อยๆเล่นให้เขาฟังไปสักพัก แต่ดูวันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเลย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยแหะ

                   

แดดยามสายทำให้อากาศอุ่นขึ้นมาหน่อย แต่ก็สดชื่นด้วยธรรมชาติตามวิถีชีวิตคนต่างจังหวัด สินทรายได้กลิ่นอาหารจานโปรดที่มันช่างเตะจมูกอย่างรุนแรง เลยวิ่งลงมายังห้องครัว

ยะอะหยั๋งกิ๋นก๋า วันนี่ เสียงใสออดอ้อนแม่ สินทรายยังคงทำตัวเป็นลูกตัวน้อยของพ่อแม่อยู่เสมอๆ

มาๆ ลองผ่อเลาะ ลูกฟั่งไปเตรียมจัดโต๊ะไป ขวายละ อี้ป้อจะฟั่งไปยะก๋านแม่บอกให้ผมไปจัดโต๊ะอาหาร วันนี้พ่อรีบไปทำธุระในตัวเมือง พูดถึงพ่อก็ลงจากบบันไดชั้นสอง มาถึงโต๊ะอาหารพอดีในชุดสูทสุดเท่ที่แปลกตาซึ่งปกติไม่ค่อยจะเห็นพ่อใส่เท่าไหร่

“โหหห พ่อ แต่งตั๋วอย่างอี้มันดูคึแต๊น่อ” ผมชมว่าพ่อดูดีมากๆ เท่สุดๆไปเลย

“เอ่อสิน หมู่นี่ป้อได้ยินลูกอู้อะหยังคนเดียว หรือว่า.....”

พ่อถามแบบนี้ ผมถึงกับตาโตอย่าบอกนะว่าพ่อเห็นผมคุยกับนรุตม์

“หรือว่าลูกอู้โทรศัพท์กับแม่หญิงตี้ไหน”

เอ่อะ โล่งอกไปที คิดว่าพ่อจะเข้าใจผิดว่าผมสติไม่ดี แต่เดี๋ยววววว คุยกับสาวที่ไหนเนี่ยนะ

“เอ่อะ บ่าไจ้สักน้อย แม่หญิงแม่เหยิงอะหยังเลาะ ป้อก็อู้ไปเรื่อย” ผมปฏิเสธบ่ายเบี่ยง

แม่ได้ยินแบบนี้ก็มาผสมโรงอีกคน “แต๊อี้ อย่ามาเที่ยวจุ๊ป้อกะแม่หนา มีแฟนแล้วแม่นก่อ” แม่ทำหน้าดุ

“บ่ามี๋ จะมีได้จะได แม่หญิงตี้ไหนจะมามักมาชอบลูก อู้กะเพื่อน อ๋อ อู้กะอะตอมครับ ตี้เฮียนตี้กรุงเทพ แม่จำอะตอมได้ก่อครับ” 

สินทรายใช้อะตอมเพื่อนเก่าเป็นข้ออ้าง ดีกว่าบอกพ่อแม่ว่าคุยกับสาว หรือนรุตม์ผู้พิทักษ์ประจำตัว ซึ่งอะตอมเป็นเพื่อนสมัยอนุบาลและประถม ที่ร่าเริงไหวพริบดี นับว่าสนิทกับสินทรายที่สุด นานทีช่วงปิดเทอมจะกลับมาเยี่ยมบ้าน นี่ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ยิ่งตอนนี้เรียน ม.6 คงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

อ่อ อะตอม ละอ่อนหน้าตาดี ฮ้องเพลงก็เพราะ ที่ชอบมาแอ่วหาลูก มาแกล้งถอดสายขาลูกแม่นก่อ”

แม่ผมจำอะตอมได้แม่น เพราะเจ้านี่เขาร่าเริง ตีซี้กับคนง่าย เสียอย่างเดียว ขี้แกล้ง แถมแกล้งถอดสร้อยข้อเท้าผมประจำ พูดถึงแล้วก็คิดถึงเหมือนกันเนอะ

“เอ่อดีเลย จะอั้นป้อว่า ป้อพาลูกไปแอ่วกรุงเทพดีก่อ สินทรายไปกะป้อโตยเน้อพ่อชวนสินทรายกะว่าจะไปแวะเยี่ยมอะตอมด้วย คงดีกว่าถ้าให้ลูกได้เจอเพื่อนบ้าง

แต้อี้ ดีใจขนาดเลย”

พ่อผมมีงานเข้าร่วมอบรมเรื่องใบชาสกัดช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับให้ผู้คน ซึ่งได้เป็นตัวแทนปราชญ์ชาวบ้านไปร่วมสัมมนาที่กรุงเทพพอดี นี่ถือเป็นโอกาสดีมากๆที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาไกลบ้าน ดีไม่ดีก็จะได้หามหาวิทยาลัยเรียนต่อในกรุงเทพกับอะตอมสะเลย  

 

          ช่วงบ่ายของวันขณะสินทรายกำลังงีบพักผ่อน เสียงหัวเราะหลอนๆก็ดังขึ้น

          “ฮ่าๆๆๆๆ ฮิ๊ๆๆๆๆๆ” ผมกำลังอยู่ในฝันที่ดูเหมือนว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหน อย่าบอกนะว่าผีพรายบุกมาทำร้ายผมถึงเชียงใหม่ แต่สักพักความกลัวของผมก็หายไปเมื่อได้ยินเสียงของชายคนนึงดังขึ้น

“ออกไป บอกว่าอย่ามากวน คนจะนอน” “นั่นเสียงบดินทร์นี่”

ผมลืมตาขึ้นจากภวังค์ อ่อ นี่เราฝันไปหรือนี่ แต่เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นลางบอกเหตุ ผมลุกไปล็อคประตูห้องนอน ถอดสร้อยข้อเท้า แล้วรีบนอนหลับถอดจิตออกแล้วหายตัวไปหาต้นเสียงทันที

สังหรณ์ใจว่าคงมีผีพรายออกรังควานเป็นแน่

 

          ณ คอนโดห้องเช่าเล็กๆของบดินทร์กลางกรุง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

          พอผมไปถึงก็เห็นคนมุงที่บริเวณด้านหน้าห้องของตึกชั้น 8

ที่นี่คือหหน้าห้องเช่าของบดินทร์ นี่นา ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ คนชุดขาวสวมชุดพยาบาลและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังหาบร่างของคนๆนึงที่มีผ้าปิดไว้อยู่ ข้างกายมีผู้หญิงวัยกลางคนร้องไห้เสียงดัง เธอคงเป็นแม่ของผู้ตายสินะ

“นั่น! มัน! เด็กหญิงวัย 10 ขวบที่เรามาช่วยพิทักษ์ฝันนิ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้”

 

ผมกำลังจะเดินเข้าไปดูเด็กผู้หญิงใกล้ๆ แต่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างในห้องนอนของบดินทร์ จึงคิดว่าไม่ได้การแล้ว ถ้าหากบดินทร์จะเป็นรายต่อไปล่ะ ผมรีบทะลุประตูเข้าไป เห็นบดินทร์นอนคลุมโปงใต้ผ้าห่มผืนเล็กๆที่มีหมอนใบใหญ่วางขนาบหัวเหมือนกำลังซ่อนตัวอยู่

“เขาคงกลัวมากเลยสิท่า” ผมคิดในใจแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาบดินทร์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้น

          “ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก” เสียงเคาะประตูตู้เสื้อผ้าดังรัวๆ อย่างบ้าคลั่ง ทำเอาผมขนหัวลุกรีบหลับไปอยู่หลังผ้าม่านโดยเร็ว ไม่ได้กลัวนะแต่ตั้งหลักไว้ก่อน

 

บดินทร์เด็กหนุ่มเจ้าของห้องร้องเสียงดังเหมือนอดกลั้นความโกรธเกรี้ยวไว้ไม่ไหว

“บอกว่าจะนอน อย่ามากวน!!!

บดินทร์รู้ดีว่าเสียงนั่นใครเป็นคนทำ มันเคาะอยู่อย่างนั้นมาบ่อยครั้ง

บดินทร์ตัดสินใจเด็ดขาด ตาต่อตาฟันต่อฟัน เขาลุกจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด ชีวิตทำงานกลางคืนว่าหนักแล้ว ยังจะมีผีรังควานในตอนอยากหลับพักผ่อนแม้เป็นกลางวันแสกๆ เขาเดินกระทืบเท้าอย่างรวดเร็วและตรงไปยังประตูห้องแหล่งเกิดเสียง เสียงเคาะยังดังถี่ แต่คราวนี้มาพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

          “หุบปากซะ” บดินทร์เปิดประตูอย่างฉับพลัน เห็นหน้าผีพรายน้ำที่มีพลังเต็มเปี่ยมภายหลังจากสูบวิญญาณเด็กหญิงข้างห้องได้แล้ว บดินทร์พปล่อยหมัดตะบันหน้าเจ้าอย่างสุดแรง แต่ไม่โดน มันหลบหนีกระเด็นทะลุกำแพง ทะลุออกไปยังอีกห้องหนึ่ง แต่ไม่กี่อึดใจมันก็กลับมาปรากฏด้านหลังของบดินทร์อีกครั้ง

          “ฮ่าๆๆๆๆ โอ้ยยย เจ็บจังเลยยย ฮ่าๆๆๆ”

          “ยั่วโมโหดีนักใช่มั้ย” บดินทร์หันหหลังกลับมาใช้ฝ่ามือบีบเข้าที่คอของผีพราย ซึ่งมันก็ยังทำหน้าตาทะเล้น แลบลิ้น ปริ้นตา บดินทร์รวบรวมกำลัง เส้นเลือดที่แขนปูดขึ้นมา ท่อนแขนและมือกลายเป็นสีแดง เล็บมือกลายเป็นสีดำสนิท

          “ซ่า”  เสียงเนื้อถูกย่างด้วยความร้อน มีควันสีเทาลอยคละคุ้ง ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ ใบหน้าของผีพรายเหยเกจากความเจ็บปวด สายตามันตกตะลึงในฤทธิ์ของบดินทร์ แค่รับมือมันก็ว่าประหลาดใจแล้ว แต่นี่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับมันได้อีกด้วย ผีพรายร้องโหยหวนเพราะอานุภาพของลูกประคำที่ข้อมือ

สินทรายหลบอยู่หลังม่าน เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ผีพรายน่ากลัวกว่าเดิมอีก แต่ที่น่ากลัวกว่าผีพราย น่าจะเป็นพ่อหนุ่มนักมวยหมัดหนัก บดินทร์คนเท่ เขาดูไม่กลัวอะไรเลย เห็นคลุมโปงอยู่คิดว่าจะกลัว ที่ไหนได้แค่รำคาญเสียงผี ยอมใจเขาเลยจริงๆ

“ออกไปเดี๋ยวนี้ มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย” บดินทร์ผลักผีพรายออกแล้วจ้องด้วยดวงตาถมึงทึง ผีพรายสายตาหลอกแหลก มันไต่กำแพง หมายจะอ้อมมาทางด้านหลัง พอไต่ไปบนเพดาน ห้อยหัว ห้อยมือลงมาหมายจะจับตัวบดินทร์ เขาก็รวบมือทั้งสองข้างของผีพราย ดึงตัวมันลงมา ตัวมันกระแทกพื้นอย่างจัง

“แกจะไป....ตายที่ไหนก็ไป!” บดินทร์กระชากหัวของผีพรายขึ้นมาแล้วจับทุ่ม แรงกระชากดึงและเหวี่ยงเหมือนกับว่าผีร้ายนั่นตัวเบาหวิว ร่างของผีพรายทรุดล้มลงกับพื้น บดินทร์เดินหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ใช้มือเดียวดึงตัวมันขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเองอีกมีมือช้อนร่างขึ้นจับบให้มั่นและเหวี่ยงหมัดจากมือที่มีลูกประคำชกรัวๆไม่ยั้ง

          “อ๊ากกกกกกกกกก” ร่างของผีพรายควันขึ้น กรีดร้อง

          บดินทร์ไม่ปราณีลากผีพรายเดินออกประตูห้องไปตามทางเดินต่อ

          “ฟู่ว์” เสียงที่ฟังแล้วคล้ายกับเสียงเนื้อดิบที่โดนจี่ด้วยไฟ ควันดำลอยขึ้นที่ข้อมือของบดินทร์ ผมนึกว่าผีร้ายเล่นงานเขา แต่เปล่าเลย เสียงร้องโหยหวนกลับเป็นของผีพรายนั่น บดินทร์ลากไปถึงประตูบานในสุด หน้าประตูเขียนว่า ที่สำหรับทิ้งขยะ

เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูออกพบถัขยะอะลูมิเนียมสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่หลายถัง และทันใดนั้นเอง

          “สวบ!!!”

          “ผลั๊ก!!!”

          “ฟิ้ววววววววววววววว!!!” บดินทร์ออกแรงเหวี่ยงและโยนร่างของผีพรายลงถังขยะ

แม่เจ้าโว้ย ผมนี่อึ้งเลย บรรเลงดีดซึงตั้งนานปราบไม่ได้ เจอบดินทร์โยนผีลงถังขยะ ถ้าเล่าให้นรุตม์ฟัง เขาต้องไม่มีทางเชื่อจากปากผมแน่ๆ

บดินทร์กลับเข้าห้องมาแล้วนอนต่อตามเดิม ผมได้แต่แอบดูอยู่ ไม่กล้าปรากฏตัวออกไป งงเลยครับ คนอะไรโหดได้กระทั่งกับผี

“แต่เอ๊ะ ทำไมเขามองเห็นผีล่ะ ไม่ใช่แค่เห็น แต่อัดผีสะเละเลย” ผมงงเป็นไก่ตาแตกไปอีก

สรุปคือเขาเป็นใคร หมอผีหรอ แต่ช่างเถอะ เก็บไว้คิดทีหลัง สำคัญคือตอนนี้ ผมได้โอกาสแล้วที่ผีพรายอ่อนกำลังฤทธิ์

 

เบื้องหน้าของผมคือถังขยะกองโตในตู้ขยะของคอนโดเรียงกันหลายถังสำหรับผู้เช่าในชั้นนี้ มันไม่สะอาดซึ่งก็น่าจะเหมาะสมกับสภาพคอนโดที่เก่า ราคาถูก จะให้ดีเลิศหรูหราได้ยังไง หมักหมมแบบนี้อย่าว่าแต่ผียังมาอาศัยเลย หนู แมลงสาบ ก็ต้องเยอะแน่ๆแบบนี้

ผมสัมผัสได้ว่าผีพรายคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ จึงเรียกซึงวิเศษคู่กายออกมาเตรียมไว้ก่อน สะบัดปลายนิ้วอันเรียวยาวสามครั้งถี่ๆ เรียกสติอันฟั่นเฟือนของผีพราย ให้ขานรับ จากนั้นเพลงพิฆาตแห่งคนธรรพ์ก็กำลังจะสำแดงเดชอีกครั้ง

ผีพรายปรากฏตัวเบื้องหน้าสินทราย มันได้ยินเสียงบรรเลงซึงเครื่องสาย ในช่วงบรรเลงบทแรกยังไม่ทันจบ เกิดความสะดุดใจ มองหน้าสินทรายด้วยความโกรธเคือง แถมยังไม่สะทบสะท้าน

          “ตึ๊ง” สะบัดสายซึงแรกเพื่อเรียกสติของผีพราย เสียงซึงเส้นที่สองเรียกดวงจิตเดิมของผีพรายให้ปรากฏ และครั้งที่สามเปิดทางสว่างให้แก่ดวงจิตดั้งเดิม เพลงถูบรรเลงด้วยจังหวะที่สงบ ท่วงทำนองที่นุ่มละมุน เหมือนดังความอบอุ่นจากแสงแรกของพระอาทิตย์ในฤดูหนาว

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เพลงกล่อมเด็กของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เสียงผีพรายดังลอดเข้ามา ผมจึงกลั้นใจออกไปประจันหน้า เสียงบรรเลงยังคงดังต่อเนื่อง ผีพรายเองก็เริ่มมีปฏิกิริยา มันกำลังสับสน เดี๋ยวสงบ เดี๋ยวอาละวาด

          “เจ้านี่น่าจะเป็นผีพรายมานานแล้วใช่มั้ย”  “ดวงจิตเดิมของเจ้าถึงมาช้าจัง” ผมก็อดบ่นไม่ได้ เพลงพิณกำลังจะบรรเลงจนบทสุดท้ายแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าดวงจิตเดิมจะกลับมาสักที

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”  “เจ้ามันแค่เด็กเมื่อวานซืน ผีพรายอายุหลายร้อยปีอย่างข้าไม่มีทางแพ้เจ้าหรอก” ผีพรายประกาศกร้าวอย่างภาคภูมิใจ ทระนงในอายุขัยที่สั่งสมความเขลาโดยไม่รู้ตัว

          “ตึ๊ง” เพลงพิณบทสุดท้ายจบลง แต่ผีพรายผมยาวลากดินไม่ได้เจอทางสว่างเลย ผีร้ายหัวเราะลั่นอย่างมีชัย มันก้มต่ำ และคลืบคลานเข้ามาหมายเอาร่างของผม ผมเดินถอยหลังเล็กน้อย

 

“หยึยยย !!! ไหนนรุตม์บอกว่าบทเพลงแห่งคนธรรพ์ ผีพรายหรือผีไหนๆก็ต้องยอมสยบไง”

“สติ สมาธิ จิตแน่วแน่ จะทำให้เพลงบรรเลงศักดิ์สิทธิ์” เสียงคำสอนของนรุตม์ดังเตือนสติ

“อ๋อออ เข้าใจแล้วววว”

สินทรายตั้งสมาธิแน่แน่ว บรรจงร่ายมนต์ผ่านการดีดซึงอีกครั้ง คราวนี้ดูจะเห็นผล มันตรึงวิญญาณของผีร้ายได้อยู่หมัดเช่นเคย ผีร้ายกระดุกกระดิกไม่ได้ เสียงดนตรีทะลุแทรกทำลายโสตประสาท มันร้องสะอื้นโหยหวนสุดแรง จนกระทั่งใกล้จะบรรเลงจบครบ 3 บทแรกของบทเพลงพิณพิฆาตแห่งคนธรรพ์

ผีพรายแสร้งทำตัวให้น่าสงสาร เค้นน้ำตาออกมาดั่งสายเลือด สินทรายที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบในขณะมันอ่อนแรง จึงเกิดความสงสารโอนอ่อนผ่อนตาม เขาค่อยๆ คลายมือที่ถือซึงพิฆาตแห่งคนธรรพ์ แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ ผีพรายหายตัวไป สินทรายไม่ทันระวัง ขณะเดินหาอยู่ทั่ว เขาพลาดพลั้งถูกทำร้ายจากด้านหลัง

สินทรายถูกผมยาวเปียกน้ำของผีพรายมัดจับตัว มันแผลงฤทธิ์สิงใจชั่วขณะ เสียงหัวเราะเย้ยหยันกลับมาอีกครั้ง สินทรายกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกของตนเองที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายระหว่างตัวตนของเขา และตัวตนด้านมืดที่ผีพรายครอบงำ

          “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” สินทรายขณะถูกควบคุมจิตใจไปส่วนนึงหัวเราะเสียงแหลม แววตาแข็งกระด้าง มองขวางไปหมด ปากก็พูดพร่ำฟังไม่เป็นภาษา ตอนนี้สินทรายต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งมากที่สุด เพื่อขับไล่ผีพรายออกจากก้นบึ้งจิตใจของเขาให้เร็วที่สุด

“มนุษย์ธรรมดา ถอดจิตมาแค่ขั้นกายละเอียด กูไม่กลัวหรอก” สินทรายได้ยินก็สะดุ้ง

“ตึ๊ง!!!” เสียงพิณดังขึ้น พร้อมแรงสั่นสะเทือนที่เคลื่อนตัวอย่างแรงตามเสียงที่สะท้อนมาทำให้ผีพรายปล่อยตัวผมจากพันธนาการ แล้วเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างดุดัน

“แต่ถ้าเป็นขั้นกายสิทธิ์อย่างข้าเล่า เจ้าจะกลัวรึไม่” นรุตม์มาได้ทันท่วงที เขาเห็นเหตุการณ์ด้วยเนตรนิรมิตร เขารู้ดีว่าถ้าผีพรายกลืนกินดวงจิตของมนุษย์ได้เมื่อไหร่ มันจะมีอำนาจเหนือมนุษย์ผู้นั้นทันที สินทรายแม้มีวิชา แต่ยังอ่อนต่อโลกเกินไป ต้องใช้เวลามากกว่านี้ถึงจะทันเล่เหลี่ยม

“มันถึงเวลาของแกแล้ว” นรุตม์บรรเลงบทเพลงพิณพิฆาตทันทีไม่รีรอ มันรุนแรงเสมือนกำลังกวนทะเลที่สงบนิ่ง ให้เกิดวังน้ำวน เกิดคลื่นน้ำมหึมา พัดวนมวลอากาศที่สงบให้เกิดเป็นพายุขนาดย่อมถาโถมใส่ผีพราย กระแสน้ำถูกพัดเป็นคลื่นยักษ์ด้วยแรงลม

                             “สายพิณนิ่งสงัด           ดังธาร สงบ

                   เสียงพิณสะอาดหมดจด          บรรเลง

                   จังหวะเร้าวิญญาณ                  แต่มิครื้นเครง

                   เหมือนแสร้งเพลงไห้                รื้นจิต รื้นใจ

                             พิณเพลงบทหนึ่ง           ราบเรียบ

                   ชะความเงียบความหมอง        ออกไซร้

                   ไร้ทุกข์ ไร้โศก                          โลกอภัย         

                   เกิดนิมิตรใหม่                          ดีงาม เอย"

          สินทรายตั้งสติ เขาต้องการเอาชนะความกลัวนี้ให้ได้ เขาหยิบซึงขึ้นสบทบมนต์เพลงพิณพิฆาตแห่งคนธรรพ์ด้วยอีกแรง ยิ่งบีบประสาท ทำลายดวงวิญญาณให้อย่างไม่ปราณี คราวนี้เขาจะไม่ใจอ่อนอีกแล้ว

                             "พิณเพลงบทสอง          เน้นครรลองธรรม

                   ให้พินิจ ดับขันธ์                     นั้นไซร้

                   รวบรวมกุศลจิต                     กุศลใจ

                   ปลดปล่อยจิตไท                    แห่งภพภูมิ""

          ทั้งคู่ ระดมเสียงจากเครื่องสายบรรเลงเพลงทรงอานุภาพแห่งคนธรรพ์ คละเคล้ากันประสานไพเราะและเสียดแทง ท่ามกลางความสงบบนตึกคอนโดที่ไม่ค่อยมีใครพักอาศัย ฤทธานุภาพเพลงพิฆาตทำให้บรรดาผีร้ายอื่นๆที่แอบอิงพิงอาศัยหนีกระเจิงหายไปด้วย

            "พิณเพลงบทสาม           ชี้ทาง นำจิต

                   จุดเทียนให้ชีวิต                         ส่องแสง

                   มิล่องลอยรอคอย                      ห้สิ้นแรง

                   จิตประภัสสร                          สำแดง ฤทธา”

 พลังวิญญาณของผีพรายน้ำก็กำลังถูกทลายด้วยความบ้าคลั่งของเสียงดนตรี มันกดประสาทจนผีพรายเอามืออุดหู กรีดร้องทรุดตัวเกลือกกลิ้ง ดิ้นทุรนทุราย กับพื้นขยะ มันร้องขอชีวิตอย่างโหยหวน น่าเวทนา เสียงคร่ำครวญไม่อาจทำให้สมาธิของสินทรายสั่นคลอน เขาสลายร่างของผีพรายเพื่อส่งมันไปยังยมโลก

เพลงพิฆาตแห่งคนธรรพ์ มีทั้งหมด 7 บท แต่ละบทก็จะมีความรุนแรงในการปราบภูตราตรีหรือผีร้ายได้แตกต่างกันออกไป สินทรายร่ำเรียนเพียง 3 บทแรก ก็รับรู้ได้ถึงอานุภาพที่ใช้กล่อมคนให้หลับได้ ใช้พิฆาตวิญญาณร้ายก็ได้ เขาโผกอดนรุตม์ผู้พิทักษ์คู่กายที่มาช่วยได้ทันเวลาพอดี

“ขอบใจท่านมากนะ ที่มาช่วยผม”

“เจ้าคือคนที่ข้าต้องดูแล ข้าบอกแล้วใช่ไหม จะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่ง ห้ามลังเล” นรุตม์ทำเสียงดุอีกแล้ว

“ค้าบบบบ” คราวนี้ผมยอมจริงๆครับ ต่อไปจะขยันซ้อมกว่านี้ แล้วจะไม่ใจอ่อนให้ผีร้ายอีกแล้ว

 

          ผมกับนรุตม์เดินด้วยร่างโปร่งแสงไปที่บริเวณหน้าคอนโด มนุษย์ยังคงมุงดูกับร่างอันไร้วิญญาณของเด็กหญิงที่อายุสั้น ผู้ซึ่งผมช่วยเธอไว้ไม่ได้ ทำไมถึงรู้สึกสลดใจได้ถึงขนาดนี้นะ

          ขณะที่รถโรงพยาบาลกำลังเคลื่อนร่างกายเด็กหญิงไปชันสูตรที่โรงพยาบาล ผมก็ได้ยินแม่ของเธอบอกว่า เด็กหญิงมีอาการขวัญผวามาหลายคืน แต่วันนี้จู่ๆก็ไม่ลุกจากที่นอน พอไปดูก็พบว่าเสียชีวิตแล้ว

          นรุตม์เห็นเหตุการณ์จึงบอกผมว่า “สินทราย เจ้าเห็นไหมว่าผู้พิทักษ์สำคัญอย่างไรกับมนุษย์” “เห็นไหมว่าความตายไม่มีกำหนดวันที่แน่ชัดเลย” “คู่กรรมคู่เวร หรือวิบากกรรมในอดีตจะตามมาส่งผลเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

 

          ผมก็ได้แต่พยักหน้าแล้วก็อดคิดโทษตัวเองไม่ได้ว่า หากเราปราบผีพรายตั้งแต่วันนั้น ไม่กลัวเกรง วันนี้เด็กหญิงผู้น่าสงสาร และครอบครัวของเขาก็คงไม่ต้องลงเอยด้วยความเศร้าแบบนี้

น้ำในตาของผมขลังเคล้าคลออยู่ในอก อัดอั้นจนอยากปล่อยโฮออกมา ผมแหงนขึ้นมองไปที่ชั้น 8 ที่ที่ผมเห็นมนุษย์ผู้กล้าหาญที่ชื่อบดินทร์ว่า ถ้าผมมีความกล้าแบบเขาได้สักครึ่งนึงก็คงดี

ผมจะต้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ให้ดีที่สุด ไม่ให้ผีร้ายหน้าไหนมาครอบงำมนุษย์ สูบกินวิญญาณ หรือสิงสู่ หลอกหลอนได้อีก ใครที่ผมต้องดูแล ผมจะดูแลให้ดีที่สุด

         

          เตรียมตัวเดินทางไปกรุงเทพ

          ผมตื่นจากการถอดจิต ก็ต้องรีบเตรียมกระเป๋า ผู้เป็นพ่อเช็ครถเครื่องตั้งแต่เย็นวาน แม่ก็ช่วยจัดเตรียมสัมภาระอย่างมีความสุข เพราะพ่อกำลังจะพาสินทรายทัวร์กรุงเทพในครั้งแรกของชีวิต การเดินทางครั้งนี้มันอาจจะไกล หรือว่าโคตรไกลก็ได้ ผมยิ่งชอบเมารถอยู่ด้วย แต่เอาว่ะ เราวางแผนให้ถึงกรุงเทพรุ่งเช้าพอดี

ตือดึ่ง!!

เสียงข้อความดังขึ้น ปกติไม่ค่อยมีใครทักหาผมนี่นา



-          - จะได้ปะกั๋นแหมเตื้อแล้ว ตั๋วจะมาถึงจักโมง เปิ้นเกียมผ้าตุ้ม สลี ไว้หื้อละ

-          - ละก็แชร์โลเคชั่น ให้ตั๋วไปละหนา -   -

                  ....…. อะตอม เพื่อนบ่าเก่า

 

ข้อความเด้งขึ้นที่จอมือถือ สินทรายเปิดอ่านพบรูปที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ พร้อมบอกว่าเตรียมที่นอนผ้าห่มไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แบบมาถึงปุ๊ปล้มตัวลงนอนได้เลย ภาพของอะตอมกำลังเซลฟี่กับที่นอนกับผ้าห่มกองโตบนเตียง หน้าตา รอยยิ้มของอะตอมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงสดใส จริงใจต่อเพื่อนคนนี้เสมอ แต่ก่อนเขาจะหุ่นท้วมๆ แต่เดี๋ยวนี้ เข้ารูปเข้ารอย หล่อแบบโอปป้าเกาหลีไปเลย


“....อืมมม แล้วปะกั๋น” 


_______________________________________________________________________________________


อ่านจบตอนนี้แล้ว เป็นยังไงบ้าง อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ ตอนหน้าจะได้พบตัวละครใหม่สุดหล่อ หน้าทะเล้นเพื่อนซี้ของสินทรายแล้ว


https://www.facebook.com/TheHIMVA

แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น